เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว ทฤษฎี “ผีเสื้อขยับปีก“ Butterfly effect
ใครเคยมีประสบการณ์ทำสิ่งเล็ก ๆ แต่ส่งผลอันใหญ่หลวงในเวลาต่อมาบ้างคะ
วันนี้แอดขอเล่าเรื่องราวของ”เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว” ในทฤษฎี “ผีเสื้อขยับปีก Butterfly effect ซึ่งเป็นการอ้างถึงทฤษฎีโกลาหล Chaos Theory กล่าวคือ การที่ผีเสื้อขยับปีกหนึ่งครั้งอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงfในบรรยากาศและส่งผลให้เกิดพายุทอร์นาโด แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยแต่ส่งผลให้เกิดเหตุการณ์ต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ที่นำไปสู่ปรากฏการณ์ขนาดใหญ่
ผู้ค้นพบคือศาสตราจารย์เอ็ดเวิร์ด ลอเรนซ์ (Edward Lolenze) ผู้ต้องทำการป้อนข้อมูลตัวเลขเข้าแบบจำลองคณิตศาสตร์สำหรับการสร้างสภาพอากาศจำลอง ซึ่งตัวเลขดังกล่าวปกติแล้วมักประกอบด้วยตัวเลขหลังจุดทศนิยมหลายหลัก
มีวันหนึ่งเกิดขี้เกียจป้อนตัวเลขหลาย ๆ หลักจึงปัดเศษทศนิยมออก ท่านป้อนตัวเลข 0.506 แทนที่จะเป็น 0.506127 ซึ่งเป็นการปัดเศษ 0.000127 ออก ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่ไม่สำคัญทางสถิติเลย เพราะที่ตัดออกเป็นหลักสี่หลังจุดทศนิยม ซึ่งก็เป็น “แค่” หนึ่งในหมื่น
แต่พอกลับมาดูผลการจำลองสภาพอากาศที่เกิดขึ้น กลับต้องตกใจเพราะสภาพอากาศที่จำลองขึ้นมีความแตกต่างอย่างสุดขั้วเพียงแค่ปัดเศษนิดเดียว

สรุปได้เลยว่า แค่ผีเสื้อขยับปีกในไทยอาจไปทำให้เกิดทอร์นาโดในอเมริกาได้ ในทางตรงข้ามเราก็อาจหยุดทอร์นาโดที่กำลังก่อตัวได้ด้วยการทำให้เกิดลมเล็กๆ ซึ่งอาจทำให้ทอร์นาโดนั้นเปลี่ยนทิศ หรือลดความรุนแรงลงได้ หรือการ“เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว” คือการปฏิสัมพันธ์ระหว่างโลกและดวงดาวซึ่งต่างก็มีแรงดึงดูดระหว่างกันและกัน โดยมีระยะทางเป็นตัวแปรสำคัญ
อาจจะด้วยความตั้งใจหรือบังเอิญก็ตาม หากเราทำการเด็ดดอกไม้สักดอก การกระทำนั้นอาจจะทำให้จุดศูนย์กลางมวลของโลกเกิดการเปลี่ยนตำแหน่งไปง่ายๆ กล่าวคือการเคลื่อนย้ายตำแหน่งจากการเด็ดดอกไม้ได้ส่งผลถึงการเปลี่ยนแปลงระยะทางระหว่างโลกและดวงดาว ส่งผลกระทบเป็นทอด ๆ จนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของแรงดึงดูดระหว่างโลกและดวงดาวนั่นเอง
นอกจากนี้ยังมีหนังและเกมนำทฤษฎี Butterfly Effect ไปใช้สร้างเป็นโครงเรื่องด้วยได้แก่

ภาพยนตร์เรื่อง THE BUTTERFLY EFFECT ( เปลี่ยนตายไม่ให้ตาย) เรื่องราวของ อีวาน ทรีบอร์น (Ashton Kutcher) นักศึกษาหนุ่ม ที่ต้องเผชิญอาการปวดหัวอย่างหนักถึงขั้นหมดสติ และทุกครั้งที่หมดสติเขาจะสามารถเดินทางย้อนเวลาเพื่อแก้ไขช่วงชีวิตอันโหดร้ายที่เคยผ่านๆมาได้ แต่ทุกครั้งที่เขาเปลี่ยนอดีต จะส่งผลกระทบกับชีวิตปัจจุบัน ไม่ว่าเขาจะพยายามเปลี่ยนให้มันดีขึ้นแค่ไหน ในชีวิตจริงกลับตรงข้ามจนมันเลวร้ายขั้นสุด

Until Dawn เกมที่วางขายในปี 2015 เป็นเรื่องราวของวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งที่ไปพักผ่อนในบ้านตากอากาศท่ามกลางหิมะและมีการกลั่นแกล้งกันเกิดขึ้น จนกระทั่งเรื่องราวเลยเถิดไปถึงมีการตายโดยไม่มีใครพบศพ หนึ่งปีต่อมาวัยรุ่นกลุ่มเดิมได้กลับมาเยี่ยมเยียนที่บ้านพักหลังเดิมเพื่อเป็นการเคารพศพ (ซึ่งยังไม่พบศพ) เมื่อมาถึงที่พักพวกเขากลับพบเรื่องราวสยองขวัญสั่นประสาทในค่ำคืนที่แสนจะยาวนาน ซึ่งการกระทำหรือการตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่งแม้เรื่องนั้นอาจจะเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ แต่มันส่งผลกระทบอันยิ่งใหญ่ในอนาคต
จะเห็นได้ว่าหลายๆครั้งก็มีการดึงเอาทฤษฎี Butterfly Effect มาใช้ในการทำเกมภาพยนตร์หรือแม้แต่การเขียนนิยายด้วยเช่นเดียวกัน ! การกระทำเล็กๆอาจจะส่งผลเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ได้เสมอ 💕