1168 PUBLISHING
สาระแฟนตาซี

เทพปกรณัมนอร์ส ตอนที่ 3 แร็กนาร็อก มหาสงครามวันสิ้นโลก

         แร็กนาร็อก (Ragnarök) คือ มหาสงครามวันสิ้นโลกระหว่างเทพเจ้าและอสูร ที่ต้องสู้รบกันครั้งใหญ่และเทพเจ้าองค์สำคัญจะต้องตายไปจำนานมากตามตำนานของสแกนดิเนีเวียของชาวเหนือ เรื่องราวที่ได้รับความนิยมอย่างมาก จนถูกทำเป็นภาพยนตร์และเกมดังมากมาย

         ก่อนที่เราจะเข้าสู่สงครามครั้งสำคัญนั้น เพื่ออรรถรสทั้งหมด ขอพาทุกคนเริ่มตั้งแต่ต้นกำเนิดโลกจนถึงจุดจบของโลกไปพร้อมๆกันเลยค่ะ 

         ในเริ่มแรกนั้น จักรวาลถูกแบ่งออกเป็น 2 ซีก ซีกทางใต้คือ มัสเปลเฮม (Muspelheim) ดินแดนแห่งไฟ มียักษ์ไฟชื่อว่า เซิร์ท (Surt) อาศัยอยู่ ส่วนทางเหนือคือ นิฟล์เฮม (Niflheim) ดินแดนหิมะที่มีแต่ความหนาวเย็น ตรงกลางคือห้วงว่างเปล่าเรียกว่า กินนุนกากัป (Ginnungagap) 

         แม่น้ำจากนิฟล์เฮมไหลมากลายเป็นน้ำแข็งถมเต็มในกินนุนกากัป ก่อนจะถูกเปลวไฟจากมัสเปลเฮมละลายกลายเป็นไอติดต่อกันเป็นเวลานาน จนกลายเป็นสิ่งมีชีวิต นั่นคือ ยักษ์ยิมีร์ (Ymir) และแม่วัวอูดุมลา (Audumla) ยิมีร์ดื่มนมแม่วัวอูดุมลาก่อนหลับไป เหงื่อที่ไหลออกมากลายเป็นลูกหลานยักษ์ ขณะที่แม่วัวต้องเลียกินน้ำแข็งจนกำเนิดเป็น บูรี(Buri) ต่อมาบูรีให้กำเนิดบอร์ (Bor) และบอร์ก็ได้แต่งงานกับเบสลา (bestla) มีลูกด้วยกัน คือ โอดิน (Odin) วิลี (Vili) และวี (Vé) ที่เป็นต้นวงศ์เทพอีเซอร์ (Aesir) 

         เทพทั้งสามไม่ต้องการให้ยิมีร์ผลิตอสูรเพิ่มอีก เลยลงมือสังหารยิมีร์ เลือดที่ไหลออกมากลายเป็นแม่น้ำทำให้ลูกหลานยักษ์จมน้ำตายเกือบหมด ยกเว้นเบอร์เกลเมอร์กับภรรยาที่หนีรอดไปโยตันเฮล์ม(Jotunheim) กระดูกและฟันของยิมีร์กลายเป็นภูเขากับหน้าผา ผมเป็นต้นไม้ใบหญ้า กะโหลกเป็นท้องฟ้า สมองเป็นเมฆ ส่วนร่างกายเป็นแผ่นดินใหญ่กลางต้นอิกดราซิลที่เรียกกันว่า มิดการ์ด (Midgard) หลังจากนั้นโอดินก็ไปเก็บประกายไฟจากการตีดาบของเซิร์ทมาขว้างไปบนท้องฟ้า กลายเป็นดวงดาว ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ ก่อนจะได้สร้างมนุษย์ชายจากต้นแอช ชื่อ อัสค (Ask) และหญิงจากต้นเอล์ม ชื่อ เอมบลา (Embla)

         ครั้งเมื่อเทพีแห่งชะตากรรมทั้งสามบอกกับโอดินว่า โลกจะล่มสลายเมื่อสงครามแร็กนาร็อกมาถึง โอดินจึงพยายามหาทางป้องกัน เสาะหาความรู้โดยการแขวนตัวเองที่ต้นอิกดราซิลรวมถึงยอมเสียดวงตาข้างหนึ่ง เพื่อให้ได้ความรู้ทั้งมวล อีกทั้งยังสร้างวังวัลฮัลลา (Valhalla) ที่ใช้ไว้รองรับเหล่าวิญญาณนักรบที่ตายอย่างกล้าหาญ เรียกว่า เอนเฮเรียร์ ( Einheriar )โดยมีเหล่าวัลคีรี (Valkyrie)เป็นผู้พามา

           โอดินได้รับโลกิเข้าเป็นหนึ่งในคณะเทพ โลกินั้นเป็นคนที่มีความเฉลียวฉลาด แต่ชอบที่จะแกล้งเล่นสนุกอยู่เรื่อย โลกิมีภรรยาชื่อ ซิกิน (Sigyn) แต่ก็ยังแอบไปเป็นชู้กับอังร์โบดา (Angrboda) จนมีลูกด้วยกันทั้งสิ้น 3 คน คือ พญาหมาป่าเฟนริล์ (Fenrir) งูยักษ์ยอร์มุนกานดร์ (Jörmungandr) และเทพีเฮล ( Hel) เหล่าเทพนั้นเกรงว่าลูกของโลกิจะเป็นภัย เลยมัดเฟนริล์ด้วยเชือกวิเศษ โยนยอร์มุนกานดร์ลงมหาสมุทรและไล่เฮลลงนรก

           การกระทำนี้สร้างความแค้นให้กับโลกิอย่างมาก ได้แต่เก็บไว้ในใจ จนกระทั่งวันหนึ่ง บัลเดอร์ (Baldur) เทพแห่งแสงสว่างและความดีงาม บุตรของโอดินกับฟริกก์ ได้ฝันว่าตนเองจะตาย เลยไปเล่าให้บิดา มารดาฟัง โอดินลงไปเสาะหานักพยากรณ์ ซึ่งได้ทำนายว่าบัลเดอร์จะต้องตายจริงๆ ฟริก์จึงหาทางช่วยลูกด้วยการขอให้ทุกสรรพสิ่งบนโลกสาบานว่าจะไม่ทำร้ายบัลเดอร์ ยกเว้นเพียงกาฝากมิสเซิลโทเท่านั้นที่ไม่ได้ร่วมสาบาน

          จากการสาบานของสรรพสิ่ง ทำให้ไม่มีสิ่งใดสามารถทำร้ายบัลเดอร์ได้ เขาสามารถเล่นสนุกกับเกมการหลบหลีกอาวุธที่เหล่าเพื่อนๆจะขว้างใส่ตน โลกิเกิดความริษยา ไปไล่ถามถึงจุดอ่อนของบัลเดอร์ จนรู้ว่ายังมีมิสเซิลโทที่ไม่ได้ร่วมสาบาน โลกิลงมือสังหารบัลเดอร์โดยยืมมือโฮเดอร์ (Hoder) ฝาแฝดของบัลเดอร์ในการขว้างลูกศรมิสเซิลโทใส่เขาจนเสียชีวิต 

          ฟริกก์หาทางชุบชีวิตบัลเดอร์ นางเดินทางไปหาเฮลที่นิฟล์เฮมเพื่อขอวิญญาณบัลเดอร์คืน เฮลจะยอมคืนให้ก็ต่อเมื่อ ทุกสิ่งบนโลกยอมร้องไห้ให้กับบัลเดอร์ ทุกสิ่งพากันร้องไห้ ยกเว้นนางยักษ์ตนหนึ่ง ซึ่งเป็นโลกิปลอมตัวมา ทำให้เฮลไม่ยอมคืนวิญญาณบัลเดอร์ให้

          ความเสียใจครอบคลุมไปทุกพื้นที่ ในที่สุดเหล่าเทพก็ตัดสินใจจัดงานเลี้ยงบรรเทาทุกข์ โดยที่ไม่ได้เชิญโลกิ แต่โลกิก็มาป่วนงานและแฉความลับต่างๆนานา ไม่นานนักความจริงที่โลกิเป็นคนฆ่าบัลเดอร์ก็เป็นที่ประจักษ์ โลกิถูกลงโทษ โดยการสาบให้ 1 ในลูกชายของเขากับซิกินกลายหมาป่าไล่กัดน้องชายจนตาย แล้วเอาเครื่องในลูกมาพันธนาการโลกิก่อนใช้งูหยดพิษใส่ใบหน้าของโลกิ แม้ซิกินจะพยายามเอาชามมารอง แต่เมื่อชามเต็มนางก็ต้องเอาไปทิ้ง พิษก็ยังคงหยดโดนโลกิอยู่ดี

          การลงโทษโลกิและความตายของบัลเดอร์คือชนวนที่ทำให้เหล่าเทพและยักษ์โกรธแค้น เมื่อยามสิ้นเทพแห่งความดีงาม โลกก็เริ่มเข้าสู่กลียุค เกิดความอดอยากและฤดูหนาวที่ยาวนาน มนุษย์ก็เข่นฆ่ากันเอง

            ฝ่ายอังร์โบดาก็ปล่อยหมาป่าที่เลี้ยงไว้ 2 ตัวคือ สกอลล์ (Skoll) และฮาติ (Hati) ออกไปกลืนกินพระอาทิตย์และพระจันทร์ เมื่อความมืดมิดปกคลุมโลก เวทมนตร์ก็เสื่อมคลาย ปลดปล่อยโลกิและเฟนริล์เป็นอิสระ

            มังกรนิดฮอกก์กัดกินรากอิกดราซิลจนสั่นสะเทือนไปทั้ง 9โลก เทพไฮม์ดัลล์ (Heimdall) เป่าแตรส่งสัญญาณรวมพลเหล่าทหารเอนเฮเรียร์ กองทัพทั้งสองปะทะกัน ณ ทุ่งวิกริด (Vigrid) ยอร์มุนกานดร์บิดตัวจนเกิดคลื่นยักษ์ซัดทำลายแผ่นดิน เฮลพาเหล่าวิญญาณนรกขึ้นมาช่วยบิดารบ ส่วนโลกิก็พาเหล่ายักษ์เข้าสู่สนามรบ

            2 ฝ่ายเข้าต่อสู้กัน ทั่วพื้นที่มีแต่ความพินาศ อสูรกายและเทพห้ำหั่นกัน ธอร์เข้าปะทะกับอริตลอดกาลยอร์มุนกานดร์อย่างรุนแรง ก่อนจะสามารถสังหารงูยักษ์ลงได้ แต่ก็ต้องตายตามไปด้วยพิษจากยอร์มุนกานดร์เช่นกัน โลกิต่อสู้กับไฮม์ดัลล์ ทั้งสองแลกดาบกันและต้องเสียชีวิตด้วยคมดาบของอีกฝ่ายไป ทางด้านโอดินต้องเผชิญหน้ากับพญาหมาป่าเฟนริล์อย่างกล้าหาญถึงแม้จะรู้ว่าต้องแพ้ ก่อนที่จะถูกเฟนริล์ขย้ำจนตาย ส่วนเฟนริล์ก็ถูกวีดาร์ (Víðarr) ลูกของโอดินสังหารตายตามโอดินไปในที่สุด

         เซิร์ทเห็นว่าฝ่ายตัวเองคงไม่มีทางชนะขาดแน่ๆ จึงกวัดแกว่งดาบ เผาโลกทั้ง 9 เพื่อทำลายล้างทุกสิ่ง ทำให้แผ่นดินจมหายไปในทะเล  เมื่อทุกอย่างสงบลง แผ่นดินผุดกลับมา บัลเดอร์จะฟื้นกลับมา เทพผู้เหลือรอดจะได้มาพบกัน มนุษย์ชายหญิง ลีฟ (Lif) และลีฟธราซิร์ (Lifthrasir) ที่รอดชีวิตจะสร้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ขึ้นมาอีกครั้ง

เป็นยังไงบ้างคะ ? กับเรื่องราวของมหาสงครามแร็กนาร็อก ตำนานสแกนดิเนเวียของชาวเหนือ ตั้งแต่ต้นกำเนิดโลก ไล่เรียงไปถึงชนวนสาเหตุก่อนมาสู่จุดจบที่กลายเป็นวันสิ้นโลก ที่ถึงแม้ท้ายที่สุดแล้ว สรรพสิ่งจะถูกทำลาย แต่ก็ยังคงมีความดีที่เหลืออยู่ ดังเช่นที่เทพบัลเดอร์ฟื้นกลับมาเพื่อให้ความดีงามยังคงตั้งอยู่ตลอดไป


เรียบเรียงโดย :จิตรทิวา ตั้งทองเพ็ชร (วิวา)
ภาพ : ตวิษา ชูสุวรรณ (แตงโม)

นักศึกษาฝึกงานกองบรรณาธิการ สนพ.1168 รุ่น 1/63

บทความที่เกี่ยวข้อง :