เรือนอสุรา บ้านนี้ผีเพี้ยน | ตอนที่ 1 : พึงระวัง – สุรำ นำรี ปลีกกล้วย
ตอน ๑
พึงระวัง : สุรำ นำรี ปลีกล้วย
หลังจากมื้อเย็น มะลินก็แยกกับคุณหญิงที่เรือนใหญ่ ห้องพักที่คุณหญิงสีวิกาจัดไว้ให้เป็นห้องอยู่ถัดจากเรือนกลางเยื้องไปทางปีกขวาเธอต้องเดินข้ามระเบียงไม้ยาวเป็นสะพานตัดพาดเหนือสระบัว ผิวน้ำสะท้อนเงาวูบวาบมองเห็นหิ่งห้อยกะพริบแสง บางคราวผิวน้ำกระเพื่อมนูนขึ้นประหนึ่งมีจระเข้แอบกบดานข้างใต้เฝ้ารอเหยื่อ
ราวระเบียงแกะสลักวิจิตรตระการตา แวดล้อมด้วยป่าทึบทางด้านหลัง เบื้องหน้าเป็นเรือนเล็กไว้สำหรับพวกข้ารับใช้อยู่อาศัย ซึ่งนายทองและลำเทียนคงพักอยู่ในเรือนนี้ด้วย ครั้นเมื่อเดินเท้าเปล่ามาถึงเรือนพัก เธอก็อดขนลุกกับบรรยากาศวิเวกวังเวงโดยรอบไม่ได้ เธอเคยเห็นเรือนไทยแค่ในละครโทรทัศน์แนวย้อนยุค แต่ของจริงตรงหน้านั้นสยองเสียยิ่งกว่า
รอบเรือนห้อยกลิ่นตะแคงร้อยจากดอกไม้นานาพรรณไว้ต่างเครื่องหอมยามดอกไม้ต้องลมจะส่งกลิ่นหอมชื่นใจช่วยคลายความตึงเครียดได้บ้างเมื่อเข้ามาถึงภายในเรือนก็เห็นห้องพักของเธอรายล้อมด้วยเสาและผนังไม้เรียบ เรือนเครื่องสับหลังนี้ทำจากไม้เนื้อแข็งทั้งหลังเช่นเดียวกับเรือนใหญ่ที่คุณหญิงกับท่านขุนอยู่ประจำ จึงไม่มีตะปูหรือเหล็กโผล่ให้เห็นเลยสถาปนิกของเรือนหมู่หลังนี้ต้องเป็นอัจฉริยะโดยแท้ ถึงสร้างเรือนได้งดงามเช่นนี้ แม้แต่ขอบหน้าต่างก็บรรจงแกะสลักลวดลายกลีบดอกไม้และเครือเถาวิจิตรและพิถีพิถันยิ่งนัก
เมื่อเข้ามาในห้อง เธอเห็นกระเป๋าเสื้อผ้าที่นายลำเทียนคนรับใช้ของคุณหญิงสีวิกานำมาวางไว้ที่ปลายเตียงไม้ขัดเงาซึ่งมีลักษณะเตี้ยคล้ายทรงจีน มะลินเอามือลูบไล้ผนังห้อง สูดกลิ่นหอมจาง ๆ ของเนื้อไม้ ทว่าสายตาพลันหยุดชะงักงันและมองไปยังเสาต้นใหญ่มุมห้องทางซ้ายตรงข้ามกับโต๊ะเครื่องแป้งเก่าที่ขอบกระจกแตกร้าว
เสาต้นนั้นช่างสะดุดตาและขนาดใหญ่กว่าเสาต้นอื่นใดในห้องเดาว่าคงเป็นเสาเอกของเรือนนี้
เสาเอกในเรือนไทย มักทำจากต้นไม้ทั้งต้น ตอกลงหลุมเป็นเสาแรกของเรือน จำเป็นต้องใช้ไม้ที่มีอายุเป็นร้อย ๆ ปีจึงจะมั่นคงพันธุ์ไม้ยืนต้นเนื้อดีที่เหมาะสำหรับปลูกสร้างเรือนเห็นจะเป็นชนิดอื่นไม่ได้นอกเสียจาก ‘ตะเคียน’ พันธุ์ไม้ยอดเฮี้ยนตลอดกาล
มะลินเงยมองเสาสูงตรงยาวชะลูด ขนาดลำต้นเสากว้างราวสองคนโอบ บางส่วนของเสาคดเล็กน้อย นี่เป็นต้นตะเคียนทั้งต้นของจริงไม่ใช่เสาที่ทำจากอิฐปูน เนื้อไม้ยังคงความสากหยาบ แถมสีออกเข้มดำปนเทาทึม มีผ้าสามสีขาด ๆ ผูกไว้ตรงกลางเสา ปลายตีนเสามีถาดใส่เครื่องเซ่นไหว้สำหรับบวงสรวงบูชาตามพิธีกรรม ผู้เฒ่าผู้แก่เชื่อว่าเสาเอกมักมีเทพารักษ์มาสถิตคอยปกป้องคุ้มครองเรือน
แต่เครื่องเซ่นสรวงในถาดอยู่ในสภาพทั้งแห้งทั้งเน่าจนเปื่อยเป็นผง ธูปปักก็กรอบเหมือนซีกไม้เปราะ แค่เอามือสะกิดทีเดียวก็คงร่วงกราว พวงมาลัยซึ่งคงเคยผูกติดกับผ้าสามสีทิ้งตัวแหมะลงมาเหี่ยวอย่างน่าอดสูอยู่ตรงพื้นห้องมะลินเผลอเหยียบพวงมาลัยที่กรอบแห้งเข้าเต็มเท้า แล้วพ่นลมหายใจอย่างเอือมระอา
“มีของเน่าแบบนี้ในห้อง คนอยู่จะเป็นสุขได้หรือไง”
เธอบ่นพึมพำก่อนกระชากผ้าสามสีออกจากเสาอย่างไม่สบอารมณ์เทเศษอาหารคาวหวานเน่าเสียลงถังขยะ เก็บกวาดซากธูป ข้าวตอกดอกไม้และพวงมาลัยเหี่ยวแห้งทิ้งอย่างไม่ไยดี จนกระทั่งพื้นไม้เกลี้ยงเกลา เสาเอกโล่งเตียนปราศจากเครื่องบำบวงบูชา
คนตัวสูงปัดไม้ปัดมือ ยิ้มให้เสาเอกอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ นึกปลอบใจตัวเองว่าก็คงแค่ต้นไม้ที่ตายแล้วน้ำมาทาเสา เธอมองเสาตะเคียนครู่หนึ่งก็สังเกตเห็นรอยตกน้ำมันเยิ้มแห้งกรังเป็นคราบระหว่างเนื้อไม้ด้านบนมะลินเคยได้ยินเรื่องเสาตกน้ำมันมาบ้าง พรรณไม้จำพวกตะเคียนจะมีท่อน้ำมันในลำต้น แม้ว่าต้นไม้จะตายแล้ว แต่หากอยู่ในสภาพอากาศร้อนจัดยามกลางวันเนื้อไม้ก็อาจคลายตัวและคายน้ำมันออกมาได้ตามธรรมชาติ
ช่างประไร… ของพรรค์นี้หลอกเธอไม่ได้หรอก มะลินกระหยิ่มยิ้มย่องนึกชื่นชมความฉลาดเฉลียวของตัวเองโดยหลงลืมคำเตือนจากคุณหญิงสีวิกาที่ตกปากรับตคำว้แล้วว่า ไม่เชื่ออย่าลบหลู่
หัวค่ำมะลินนุ่งผ้าถุงไปอาบน้ำในห้องน้ำที่สร้างห่างจากตัวเรือนพอสมควร คนไทยโบราณมักสร้างห้องส้วมไว้ไกลเรือนหลัก เพื่อจะได้ห่างไกลจากกลิ่นเหม็นและความอับชื้นซึ่งเป็นแหล่งบ่มเพาะเชื้อรา
ห้องน้ำนี้ไร้หลังคาปิดทำให้มองเห็นหมู่ดาวบนฟ้าเหนือเพดานที่เปิดโล่ง ภายในห้องย้ำที่ก่อด้วยผนังอิฐ มีโอ่งหลายใบไว้เก็บน้ำฝนยามแล้งลวดลายมังกรจีนแต่ละตัวที่พันรอบโอ่งราวกับมันกำลังเคลื่อนไหวได้บางตัวคล้ายกับกำลังมองเธอด้วยดวงตาคมปราดของมัน มะลินขนลุกเกรียวเมื่อเห็นพวกแมงมุมดินตัวเป้งหลบเอาขาแนบสนิทพรางตัวอยู่หลังโอ่งอย่างไม่วางใจคนมาเยือนนัก แถมมีตุ๊กแกอีกสามตัวโผล่หัวมาแอบดูด้วย
มะลินตักน้ำอาบ ใช้สบู่ขมิ้นผสมน้ำผึ้งขัดผิวให้หอมตลบอบอวลทั้งห้องน้ำ แม้แต่เครื่องประทินผิวของที่นี่ยังมีแต่สมุนไพร ยังดีที่เธอซื้อแปรงกับยาสีฟันจากร้านสะดวกซื้อมาด้วย ไม่เช่นนั้นคงต้องใช้ใบข่อยขัดสีฟันแน่
เมื่อชำระล้างคราบเหงื่อไคลเสร็จ หญิงสาวนุ่งผ้าถุงลายทางก้าวออกมาจากห้องน้ำ เดินถือขันกลับเรือนมาไม่กี่ก้าว หางตาของเธอก็เหลือบเห็นเงาดำกระโดดตุบ ๆ จากพื้นดินขึ้นบนหลังคาเรือนที่เธอพัก รูปร่างดูคล้ายลิงตัวเล็ก หางยาวงุ้มเป็นเกลียวกลมคล้ายก้นหอย มันยืนสองขาใต้เงาสะท้อนจากดวงจันทร์วันเพ็ญบนท้องฟ้ายามราตรี มะลินหรี่ตาแหงนหน้าขึ้นดูให้ชัด ปรากฏว่าเจ้าสิ่งที่คล้ายลิงกระโจนเผ่นหายไปเสียแล้ว ไม่ทันได้เห็นตัวมันอย่างชัดเจนด้วยซ้ำ
“ที่นี่มันมีป่าเยอะเหลือเกิน”
เธอเกาหัวบ่นสบถให้กับสิ่งแวดล้อมที่มีป่าทึบและสัตว์อาศัยใกล้ชิดคน แม้เธอเคยอยู่ต่างจังหวัดในชนบท แต่กับเมืองหลวงที่อยู่ติดป่าเช่นนี้เธอไม่คุ้นเลยแม้แต่น้อย “นี่มันในกรุงเทพมหานคร หรือเป็นเมื่อร้อยปีก่อนกันแน่” เธอพูดเล่นกับตัวเอง หัวเราะให้กับสถานที่แปลกประหลาดแห่งนี้ลมเย็นพัดผ่านร่างผอมบางให้หนาวสั่น หญิงสาวตัดสินใจเดินกลับเรือนหลังจากไม่เห็นความผิดปกติใด ๆ เกิดขึ้นอีก ทันใดนั้นเสียงหัวเราะคิกคักของเด็กผู้ชายก็ดังขึ้นหลังใบหู มะลินสะดุ้งโหยงหันมองหาต้นตอของเสียงนั้นทว่าพบเพียงความว่างเปล่า มีแค่แสงจากตะเกียงในมือพอส่องสว่างเป็นวงไม่กว้างนัก พลันสายตาก็เห็นบางสิ่งบนพื้นหญ้าสะท้อนกับแสงไฟวับวาบเธอจึงก้มลงหยิบของสิ่งนั้นขึ้นมา
“กำไลทอง…”
เธอเพ่งกำไลทองคำร้อยลูกกระพรวนน้อย ๆ เหมือนกำไลข้อเท้าของเด็กเล็ก คงมีคุณหนูสกุลอสุราทำตกตอนแม่นมพามาอาบน้ำ คิดแล้วมะลินก็เก็บกำไลวงนั้นไว้ค่อยคืนคุณหญิงในวันพรุ่งนี้
กำไลทองคำวงนี้คงเอาไปจำนำได้เงินหลายบาท แต่เธอควรคืนเจ้าบ้านดีกว่า จะได้ไม่รู้สึกผิดบาปต่อกัน
เมื่อกลับเข้าห้องมาแต่งตัว เธอเริ่มหาวหวอดเพราะความง่วงจัดมะลินสวมชุดนอนปกติแทนชุดนอนแบบพื้นเมืองที่คุณหญิงเตรียมไว้ให้เพราะคิดว่าพรุ่งนี้ค่อยแต่งตามใจนายจ้างละกัน เธอปิดตู้เสื้อผ้าแล้วถอนหายใจ ไม่อยากมองกองกลุ่มผ้าสารพัดที่มีคนจัดเตรียมให้สวมใส่
มะลินสังเกตว่าจุดเด่นภายในห้องนอน นอกจากบานหน้าต่างที่เปิดแบบดึงเข้าด้านในแล้ว รองมาก็คือเสาตกน้ำมันต้นใหญ่ที่เธอเพิ่งรื้อผ้าสามสีทิ้งก่อนไปอาบน้ำ ยังมีโต๊ะเครื่องแป้งทำจากไม้แกะสลักลวดลายงดงาม ลิ้นชักเป็นรูปปีกพญาครุฑ ขอบกระจกเงาสลักลายลูกไม้อ่อนช้อยพอหันไปมองข้างหัวเตียงอีกทิศจะเห็นเรือนตุ๊กตาขนาดจิ๋ว สร้างจำลองตามแบบเรือนอสุราของจริงทุกกระเบียดนิ้ว เพียงแต่มีขนาดเล็กพอให้หนูหรือแมงมุมลายสักตัวเข้าไปหลบได้ มะลินใช้ผ้าขี้ริ้วเช็ดฝุ่นเรือนตุ๊กตาไม้อย่างระวัง เธอชักชอบมันเข้าแล้ว
“เรือนตุ๊กตานี้ทำได้ละเอียดเหมือนของจริงเลย น่าเสียดาย…ไม่มีตุ๊กตาสักตัว” เธอพึมพำ
มะลินมองลอดผ่านช่องประตูหน้าต่างบานเล็ก ๆ ของเรือนตุ๊กตาแล้วยิ้มกับตัวเอง วูบหนึ่งเธอเห็นว่ามีบางสิ่งเคลื่อนไหวอยู่ด้านใน เดาว่าคงเป็นหยากไย่หรือใยฝุ่น ไว้ค่อยหาทางรื้อทำความสะอาดมันวันหลัง มะลินคิดแล้วก็วางมันลงไว้ที่ชั้นวางตามเดิม
ทันใดนั้นเอง เมื่อเธอหันจากเรือนหลังน้อย เสียงแหลมเล็กก็ดังแว่วมาจากที่ไหนสักแห่ง
‘พี่มะเลื่อง…’
มะลินหันมองไปรอบทิศเพื่อหาที่มาของเสียงปริศนา แต่ก็ไม่พบใครภายในห้องพักนี้มีแต่เธอคนเดียวเพียงลำพัง เธอคงง่วงมากจนหูแว่วไปเองจึงขึ้นเตียงแล้วเปิดหนังสือสวดมนต์ มะลินมักสวดมนต์ทุกครั้งเมื่อมาเยือนสถานที่ใหม่ ๆ แต่คราวนี้เปลือกตาดันอ่อนล้าเกินกว่าจะพนมมือไหว้สิ่งใดจึงตัดสินใจวางหนังสือสวดมนต์ไว้ข้างโต๊ะ ถอดสร้อยพระ ดับตะเกียงล้มตัวลงนอน แล้วดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดถึงต้นคอ
แสงจันทร์จากนอกหน้าต่างทอสว่างเรือง พอให้เห็นภาพภายในห้องพักชัดเจน หญิงสาวผล็อยหลับลึกในทันที ศีรษะของเธอจมลงบนหมอนลายผ้ามัดหมี่รูปทรงกระดูก หมอนใบนั้นอัดด้วยสมุนไพรทำให้หลับสบายราวกับดึงเอาจิตวิญญาณของเธอเข้าสู่ภาพความฝันในความฝัน… มะลินอยู่ในห้องพัก เธอยืนประจันหน้ากับเสาเอกซึ่งบัดนี้เปลือยเปล่าไร้ผ้าสามสี ไร้เครื่องเซ่นบูชาใด ๆ ฉับพลันหญิงร่างสูงคนหนึ่งก้าวออกมาจากเสาไม้นั้น หล่อนไม่ได้สวมเสื้อผ้าสักผืนมีเพียงเส้นผมยาวสีเทาเข้มเหมือนเสาไม้ตะเคียนปกปิดเรือนกายอรชรไว้ดวงตาสีเขียวมรกตทรงเรียวดูดุดัน คิ้วหนาได้รูปสร้างอารมณ์หวั่นเกรงเป็นเท่าตัว ใบหน้าสวยสง่าเสียจนคนมองต้องพรั่นพรึง ผิวขาวราวกับแก่นเนื้อไม้ไม่ผิดเพี้ยน หญิงร่างสูงตรงหน้าทั้งน่ากลัวและน่ากริ่งเกรงจนมะลินกลืนน้ำลายไม่ลงคอ
‘บังอาจนัก เข้ามาเหยียบถิ่นข้าแล้วยังโอหัง’ ริมฝีปากสีเขียวเข้มเผยอเล็กน้อย แววตาข่มขู่ให้อีกฝ่ายตัวสั่น ‘กล้ามาถอดผ้าข้าไม่พอ ยังเอาของกินข้าไปทิ้ง หากเอ็งยังไม่อยากตายคาห้อง จงหาผ้ามาห่มให้ข้าใหม่ของเซ่นไหว้ก็อย่าให้ขาด ขนมต้มขาว ขนมต้มแดง ข้าวตอกดอกไม้ เครื่องคาวหวาน ธูปเทียนบูชา จัดหามาให้ครบ ข้าอยู่มาหลายร้อยปีอย่างสงบเอ็งต้องรู้จักเคารพผู้ใหญ่ ! มิเช่นนั้นจะคอหักตายไม่รู้ตัว’
“คุณเป็นใครกัน”
มะลินส่ายหน้า กลิ่นเหม็นเขียวของใบไม้โชยออกมาจากแม่คนงามเบื้องหน้าคละคลุ้งขึ้นจมูก เธอกลัวจนขนลุกชันขยับร่างกายไม่ได้ แถมยังหายใจลำบาก แม้ว่าผู้หญิงคนนี้จะสวยสักแค่ไหน แต่ความงามของหล่อน
แฝงไว้ด้วยอันตราย มะลินเบิกตามองเส้นผมยาวที่แผ่สยายออก ฉับพลันมือเย็นยะเยือกคว้าหมับเข้าที่ลำคอ เล็บแหลมสีเขียวปีกแมลงทับจิกเข้าเนื้อจนมะลินสำลักอากาศ หยดเลือดไหลซึมออกมาทำให้เธอรู้สึกปวดแสบ
‘ตัวข้ามีนามว่า ศรีส’หญิงงามร่างสูงแสยะยิ้มให้เห็นเขี้ยวที่มุมปากหล่อนปล่อยมือออกจากคอหญิงสาวตรงหน้า ‘เอ็งจงจดจำข้าไว้ เพราะเราอาจต้องอยู่ร่วมกันอีกชาติ เขตเรือนนี้เป็นถิ่นของข้า หากเอ็งไม่กราบเสา
ที่ข้าสถิต ก็อย่าหวังว่าจะได้อยู่อย่างสงบสุข’ ว่าแล้วหล่อนก็หันหลังให้มะลิน ก้าวขาเรียวยาวพาตนเองเดินหายกลับเข้าต้นเสาตกน้ำมัน
มะลินลูบไล้ต้นคอตัวเองที่เต็มไปด้วยแผลเหวอะเปรอะเลือดชุ่มเธอกรีดร้องอย่างเจ็บปวดไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทั้งห้องสั่นสะเทือนเพราะรากไม้ที่งอกยาวออกมาจากเสาประหนึ่งงูยักษ์วิปลาสไชแทรกทำลายพื้นไม้กระดานให้ปริแตก ความมืดกำลังกลืนกินตัวเธอเสียงหัวเราะแหบห้าวแสดงอำนาจจากเสาต้นใหญ่คือเสียงสุดท้ายที่ได้ยิน
เฮือก !
มะลินสะดุ้งตื่นจากฝันในเช้ามืด เหงื่อท่วมตัวเซไปพิงโต๊ะเครื่องแป้งพลางมองดูรอยแดงช้ำรอบลำคอซึ่งเป็นผลจากการละเมอเอาผ้าห่มแพรมารัดแน่นเสียจนเกือบขาดอากาศหายใจตายคาเตียง
“นี่มันฝันบ้าอะไรเนี่ย” เธอไอค่อกแค่กเหลือบมองเสาต้นตะเคียนภาพฝันสยองขวัญเมื่อคืนก็ฉายแวบเข้ามา ชักเสียวสันหลังวาบชอบกล
ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่ดีกว่า
ความกลัวที่ยากอธิบายเป็นแรงผลักดันให้ทำอะไรสักอย่างเพื่อแก้ไขความผิด จริงอยู่ว่าเธออาจฝันบ้าบอเพราะตึงเครียดกับสถานที่ใหม่ ๆจึงแต่งเรื่องราวขึ้นยามหลับ ทว่าในฝันนั้นเสมือนจริงราวกับผีนางตะเคียนมาหลอกหลอนเธอเอง
อยู่กับอะไรก็อยู่ได้ แต่ผีสางนางไม้เธอรับไม่ไหว ยังดีที่หล่อนมาสวยไม่มาเละเหมือนศพ มิฉะนั้นเธอคงต้องร้องเรียนคุณหญิงขอเปลี่ยนห้องพักโดยด่วน
เมื่อความเชื่อกับความเป็นจริงแยกออกจากกันยาก มะลินจึงหาผ้าไหมในตู้ เลือกหยิบสไบสีเขียวเข้มมาพันต่างเครื่องนุ่งห่มให้เสาต้นตะเคียน ก่อนรีบเผ่นออกจากห้องแต่เช้ามืดทั้งที่ยังไม่อาบน้ำเธอหาดอกไม้ธูปเทียนในห้องพระและลงไปที่ครัวเพื่อดูว่ามีอาหารคาวหวาน หรือขนมต้มพอจะเซ่นไหว้คุณศรีสด เจ้าของเสาตกน้ำมันในห้องนอนได้บ้างไหม
ภายในห้องครัวมืดสลัวมีเพียงแสงจากคบเพลิงพอสว่าง ถ่านในเตาไฟแดงร้อนระอุ มะลินเห็นหญิงชราคนหนึ่งกำลังตำน้ำพริก เสียงโขลกครกลั่นเป็นจังหวะอย่างคนชำนาญครัว เธอมองแผ่นหลังค่อมงอของคุณยายผมขาวตัดสั้นสวมเสื้อแขนกุดลายลูกไม้สีฟ้าอ่อน นุ่งผ้าถุงปล่อยชายกำลังนั่งตำน้ำพริกอยู่บนเก้าอี้ไม้ตัวเล็ก
แผงกระเทียมและพริกห้อยอยู่เหนือเตาถ่าน มะลินย่องเข้าไปในครัว ไอร้อนจากเตาถ่านปะทะใบหน้าจนเหงื่อตก เขียงสับไก่สดโชกเลือดมีมีดอีโต้ปักอยู่ หญิงสาวนึกหวาดหวั่นเมื่อเห็นหญิงชรากำลังเคี้ยวบางอย่าง
จนแก้มพอง ของเหลวสีแดงสดไหลย้อยลงตามร่องปาก เมื่อหล่อนหันมามองใบหน้าเหี่ยวย่นนั้นแฝงไว้ด้วยความขึงขังประกอบกับรอยตีนกาและรอยยับที่ร่องแก้มอย่างคนเจนโลก หญิงชราแสยะยิ้มให้เห็นคราบแดงทั่วไรฟันดำ
ยายคนนี้หรือเปล่าที่ตำน้ำพริกเผ็ดนรกให้เธอกินเมื่อเย็นวาน…
“ยายสายบัวใช่ไหมคะ” มะลินขาสั่น นึกอยากจะวิ่งหนีไปเมื่อหญิงชราทิ้งสากในมือแล้วลุกขึ้นหรี่ตามองหน้าเธอ เธอเพิ่งฝันร้ายมาหมาด ๆ ถึงกับเชื่อมโยงเรื่องราวตรงหน้าทันที
“ยายเป็นปอบ… ปอบหรือเปล่า ! นี่มาแอบกินไก่สดใช่ไหม เลือดแดงเต็มปากแบบนี้”
ยายสายบัวกำสากอีกครั้ง แล้วตะเบ็งเสียงด่า “เด็กเวร เดี๋ยวเอาสากตีกบาลแยกเสีย นี่น้ำหมากข้าโว้ย” หล่อนหยิบผ้ามาเช็ดปาก แล้วถุยน้ำหมากลงกระโถนที่ปลายเท้า
“แล้วไก่สดพวกนั้น เลือดไก่บนเขียง…”
“ข้าก็จะสับใส่หม้อโน้นแล้วไง ไอ้ฉิบหาย !” ยายสายบัวด่าด้วยน้ำเสียงเสียงแหบพร่า หล่อนยันตัวเองขึ้นยืน หยิบเนื้อไก่ใส่ลงหม้อต้มน้ำเดือดจากนั้นก็ใส่เครื่องแกง
“แล้วทำไมมือยายแดงแบบนั้น” มะลินยังไม่เลิกตั้งแง่สงสัย
“ข้าจำน้ำพริกกระเด็นเลอะมือไงโว้ย”
“ทำไมยายมาทำครัวตอนมืดแบบนี้ล่ะ” เธอเหลียวมองรอบตัวอย่างหวาดผวา ไม่ชินกับการเข้าครัวตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง หญิงชราทำหน้าเบื่อคนที่ทักว่าหล่อนเป็นปอบ “ปกติข้าก็ทำกับข้าวตอนตีสี่ตีสามข้าก็ตื่นแล้วโว้ย” หล่อนยกครกขึ้นวาง จดจ้องหญิงสาวให้ถนัดถนี่“แล้วนี่เอ็งเป็นใครวะมาเงียบ ๆ” ยายสายบัวเคี้ยวหมากแล้วคว้ามีดพร้าเขี่ยถ่านในเตาให้ประทุ “อ้อ ! เป็นโจรสิท่า”
“เอ่อ… คือหนู…” ยังไม่ทันที่มะลินจะแก้ต่างให้ตัวเอง หญิงชราตรงหน้าก็คิดไปแล้วว่าเธอคือโจรร้าย ยายสายบัวจึงถกผ้าถุงขึ้นป้องปากตะโกนเรียกคนในเรือนใหญ่ให้ตื่น
“เจ้าข้าเอ๊ย ! โจรมันบุกบ้านอิฉัน ช่วยยายด้วย แม่สี พ่อบุราณ !”ยายสายบัวตะโกนเรียกเสียงดังมะลินเห็นดังนั้นจึงรีบร้องค้าน “เฮ้ย ! เงียบนะยาย” เธอเอามือตะครุบปากยายสายบัว “หนูไม่ใช่โจร หนูมาทำงานเป็นครูพี่เลี้ยง ดูให้ดีสิ โอ๊ย !” มะลินร้องลั่นเมื่อโดนกัดมือเข้าอย่างจัง เธอรู้สึกเจ็บจึงรีบปล่อยมือที่เลอะน้ำหมากและน้ำลายหญิงชราตัวแสบ เธอใช้กำลังแย่งชิงมีดพร้าแล้วกอดหล่อนให้อยู่นิ่ง ยายสายบัวจึงได้จ้องหน้าจ้องตามะลินอย่างใกล้ชิดครั้งแรก
“เอ๊ะ ทำไมหน้าคุ้นวะเอ็ง…” หญิงชราสูดหายใจ ชี้นิ้วสั่นเทาจิ้มแก้มบุ๋ม “เหมือน…” หล่อนย่นคิ้วนึก
“เหมือนใครหรือยาย” มะลินคลายอ้อมแขนแล้วจับไหล่หญิงชราให้มองเธอชัด ๆ อีกครั้ง ตั้งแต่เข้ามาที่นี่นายทองคนสวน และท่านขุนบุราณต่างก็ทักว่าเธอหน้าเหมือนคนนั้นคนนี้ ไม่แน่ว่าหญิงชราอาจตอบได้ว่าหน้าตาเธอดันไปเหมือนใครเขากันแน่
“จำไม่ได้ลืมแล้ว” เสียงแหบแห้งเอ่ยพลางขบหมากที่โคนลิ้น
นี่ถ้าไม่เห็นว่าเป็นยาย เธอคงอุ้มหล่อนโยนออกไปข้างนอกโทษฐานทำเหมือนจำได้แต่ดันบอกว่าลืม
มะลินเพิ่งทราบว่าบริเวณเรือนครัวเป็นถิ่นของยายสายบัว ไม่มีใครกล้าเข้ามาเท่าไหร่ เพราะยายสายบัวจะปิดประตูเนื่องจากกลัวถูกขโมยสูตรลับอาหารตำรับโบราณ และเป็นคนเดียวที่มะลินต้องยอมแพ้ราบคาบด้วยความแสบทรวงของยายสายบัว หล่อนเคยสร้างวีรกรรมเด็ดดวงจากเมนูอาหารจนคนในเรือนต้องกล่าวขวัญไปหลายวัน
รุ่งอรุณมาเยือน ได้ยินเสียงนกร้องจิ๊บ ๆ หยอกล้อกัน ราวกับหัวร่อให้กับเรื่องสยองเมื่อคืน ความสดชื่นของรุ่งเช้าแตกต่างจากยามฟ้ามืดลิบลับมะลินทัดผมมวยช่วยยายสายบัวกวาดถูครัวตามคำสั่ง เธอได้ทราบว่าหล่อนคือแม่ของคุณหญิงสีวิกา ท่านขุนบุราณสามีคุณหญิงแต่งเข้าเรือนนี้ตามธรรมเนียมไทย คือผู้หญิงอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน ผู้ชายพายเรือไปมาหาสู่ยกสินสอดทองหมั้นมาสู่ขอ และต้องอยู่ประจำเรือนครอบครัวฝ่ายหญิงกระทั่งพ่อของคุณหญิงสีวิกาเสียชีวิต ท่านขุนจึงขึ้นเป็นเจ้าเรือนใหญ่แทน
ยายสายบัวเล่าว่าเรือนเล็กที่มะลินพักอยู่นั้น มีเสาทำจากไม้ตะเคียนซึ่งเป็นพญานางตะเคียนใหญ่อายุนับร้อยปี ส่วนเรื่องในฝันร้ายคืนก่อนเมื่อเธอเล่าให้หญิงชราฟังอย่างละเอียด ยายสายบัวก็ให้คำตอบว่า
“คุณศรีสดไม่ใช่ผี ท่านเป็นรุกขเทวดา เอ็งรู้จักหรือไม่ นังมะลิน”
“รุกขเทวดา คือเทวดาสายรุกหรือยาย” เธอถามหน้าซื่อ แอบกวนเล็กน้อยพอได้แหย่คนแก่เล่น
คนเคี้ยวหมากแทบถุยน้ำหมากใส่หญิงสาวปากไว “สายรุกบ้านเอ็งสิวะ ! ท่านคือภูต ไม่ใช่ผีโว้ย เป็นวิญญาณที่สถิตตามต้นไม้บางต้นแต่ไม่ได้มีพลังถึงขั้นจะเป็นเทพชั้นสูงบนสวรรค์ เพียงแค่ไม่เหมือนอย่างผีอาฆาตตายโหงทั่วไปต่างหากเล่า ทุกสิ่งรอบตัวเอ็งล้วนแต่มีสิ่งสถิตสิงอยู่ทั้งนั้น” ยายสายบัวยกมือไหว้ปลก ๆ ไปรอบตัว “แต่แม่ตะเคียนเป็นรุกขเทวดาชั้นสูงมีพลังพอสมควร ยิ่งต้นใหญ่อายุเยอะก็ยิ่งแก่กล้า อย่าไปท้าลองดี”
ความเชื่อของยายสายบัวคือเชื่อในสิ่งที่คิดว่ามีจริงโดยไม่สนว่าวิทยาศาสตร์จะพิสูจน์ได้หรือไม่ ตราบใดที่หล่อนเชื่อสิ่งนั้นย่อมมีอยู่จริงมะลินก็เคยเติบโตมากับสังคมแห่งความเชื่อและศรัทธา แม้ยุคสมัยปัจจุบันจะเปลี่ยนความคิดเธอให้กล้าแข็ง เปิดรับทฤษฎีการทดลองใหม่ ๆ จากโลกตะวันตกและคิดว่าตัวเองฉลาดเฉลียวพอฟังหูไว้หูในเรื่องงมงายแต่เพราะความกลัวเรื่องผีสาง เธอจึงไม่กล้าลองดีกับสิ่งที่ตามองไม่เห็นในถิ่นที่ความเชื่อมีอิทธิพล ไม่เช่นนั้นคงจะใช้ชีวิตอยู่อย่างลำบาก
“แล้วพอจะมีวิธีปราบหรือจัดการนางตะเคียนบ้างไหมยาย” มะลินลองถามเผื่อไม่ต้องนอนฝันผวาอีก
“เดี๋ยวตบปากด้วยสากเลยนี่” ยายสายบัวแหวใส่ รู้สึกคุยคล่องปากกับหญิงสาวคราวหลานราวกับเป็นญาติสนิทคนหนึ่ง “เอ็งจะไปปงไปปราบเขาทำไม ป่าไม้แทบจะไม่เหลือให้เราเคารพบูชาอยู่รอมร่อ แม้แต่ภูตสิงต้นไม้ตายแห้งยังเอามาทำเสา เด็กสมัยนี้ไม่รู้โง่หรือตาบอดท่านอุตส่าห์ปกป้องคุ้มครองให้แท้ ๆ เอ็งยังมีใจไปทำลายเขาอีกหรือ” หญิงชราส่ายหัวอย่างเอือมระอา “เอาแต่ว่าพวกข้างมงาย แต่พวกเอ็งน่ะซื่อยิ่งกว่าควาย ตัดต้นไม้ทำลายป่ากันโครมครามจนเดี๋ยวนี้ตะเคียนอายุร้อยปีแทบไม่มีให้ชมแล้ว นังมะลินเอ๊ย”
เมื่อโดนคนแก่สั่งสอนที คนวัยสาวถึงกับสะอึก ด้วยเหตุนี้ตอนหกโมงเช้ามะลินจึงเร่งน้ำอาหารไปเซ่นไหว้เสาตกน้ำมันพอเป็นพิธีเพื่อให้หญิงตาดุในฝันสยองเมื่อคืนวานไม่มารังควานกันอีก
ในวันแรกของการทำงานเป็นครูพี่เลี้ยง หญิงสาวอาบน้ำแต่งตัวด้วยหัวใจเต้นตุ้ม ๆ ต่อม ๆ มะลินดัดแปลงผ้าแถบสีน้ำตาลทรายแดงที่คุณหญิงมอบให้เป็นชุดไทยกึ่งประยุกต์ใหม่ เธอไม่สะดวกใจจะเปิดเผยเนื้อหนังมังสามากนัก ด้วยเหตุยังรู้สึกผิดวิสัยหากต้องแต่งชุดไทยเดิมเธอจึงสวมเสื้อเชิ้ตขาวแล้วพันผ้าแถบทับตรงกลางอกลงมาให้พอเห็นเป็นทรงกระชับ จากนั้นก็นุ่งโจงกระเบนสีชาจีนอย่างลวก ๆ รวบผมยาวเหยียดมัดทรงหางม้าสูง คาดด้วยรัดเกล้าฉลุพลอยขาวลายพิกุลซึ่งวางในลิ้นชักโต๊ะเครื่องแป้ง
มะลินมองเงาสะท้อนใบหน้าเรียวรูปไข่ผ่านกระจก ได้กลิ่นธูปที่จุดเซ่นไหว้เสาตกน้ำมันโชยตลบ เธอไม่ได้ก้มลงกราบไหว้ เพียงแค่จัดแจงวางถาดกลมใส่ขนมต้ม ข้าวตอกดอกไม้และธูปเทียนไว้ตรงตีนเสาหวังว่าคืนนี้เธอจะไม่ต้องฝันร้ายเอาผ้ารัดคอตัวเองอย่างคืนที่ผ่านมา
“ไร้สาระจริงเชียว นี่เรากลัวเสาต้นเดียวขนาดนี้เลยหรือ” มะลินพึมพำพลางกลืนน้ำลายอึกใหญ่แล้วส่ายหน้าให้กระจกเงาขึ้นฝ้าเหลืองเรื่องผีสางนางไม้เป็นเดียวที่เธอขยาด แต่หากอยู่ในเรือนอสุรานี้นาน ๆอาจทำให้โรคขี้ขลาดตาขาวของเธอหายขาดสักวัน “ถ้ากลัวก็หมายความว่าเราเชื่อ เพราะเชื่อ… ถึงได้กลัว”
เธอคิดพลางก้มมองเครื่องประดับในลิ้นชักอย่างเหม่อลอย รู้สึกคุ้นเคยกับข้าวของมีราคาพวกนี้ กลิ่นจาง ๆ ของดอกลั่นทม หอมรัญจวนอย่างประหลาด อันที่จริงห้องพักนี้อาจเคยมีใครบางคนเป็นเจ้าของก่อนเธอจะมาถึง แต่จากสภาพห้องเก่าจนหยากไย่ขึ้นขื่อคาน เจ้าของห้องคนเก่าคงจากที่นี่ไปนานแสนนานแล้ว
ในวันเดียวกัน หญิงสาวนั่งรวมโต๊ะอาหารรับประทานมื้อเช้าพร้อมคุณหญิงสีวิกา และลูกทั้งสามคนของหล่อน รสชาติน้ำพริกฝีมือยายสายบัวจอมโหดยังคงจัดจ้าน แค่ได้กลิ่นพริกขี้หนูสดในถ้วยเบญจรงค์เธอก็ฉุนจมูกแล้ว เช้านี้ท่านขุนบุราณออกไปธุระกับพวกสมาคมชายสูงวัย คุณหญิงเล่าว่าเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันของท่านขุนพายเรือมารับเขาที่คลองข้าง ๆ นี้มะลินจึงได้ทราบว่ามีลำคลองสายเล็กคดเคี้ยวและทอดผ่านทุ่งหญ้ารกขนาบด้วยแนวป่า มีศาลาท่าน้ำอยู่ที่นั่นด้วย
“ขอให้ทำความรู้จักกับลูก ๆ ของฉัน” คุณหญิงใส่เสื้อลูกไม้แขนหมูแฮม ผายมือไปทางเด็กทั้งสามคนซึ่งนั่งล้อมวงอยู่รอบโต๊ะไม้เตี้ยตรงข้ามมะลิน เธอต้องนั่งพับเพียบตลอดมื้อเช้าจนขาเป็นเหน็บชาคันยิบ ๆ
ลูกสาวคนโตของคุณหญิงเป็นเด็กผมสั้นตัดตรง เส้นผมดำมันเงาอายุประมาณไม่เกินสิบสองปี ไหล่เล็กขาวเผือดบอบบางโผล่พ้นเสื้อคอกระเช้าขอบลูกไม้ลายทับทิม นุ่งโจงกระเบนเช่นเดียวกับน้องชายทั้งสองเพียงแต่นั่งในท่าเทพธิดา เอามือวางไว้บนตัก สิ่งที่โดดเด่นที่สุดบนใบหน้าเฉยชาแต่ทรงพลังนั้น คือดวงตากลมโตดูดุดัน และรูปทรงคิ้วไม่ต่างจากคิ้วยักษ์
มะลินเคยมีเพื่อนที่มีรูปคิ้วลักษณะคล้ายคิ้วของยักษ์ แต่เด็กคนนี้มีคิ้วเหมือนอสูรในภาพเขียนไม่ผิดเพี้ยน ไรขนคิ้วทั้งยาวและดกหนา ขับความคมคายในดวงตาให้เด่นชัดเป็นเท่าตัว ริมฝีปากอิ่มชมพูระเรื่อเชิดขึ้นเล็กน้อย เด็กหญิงจ้องหน้ามะลินแล้วเผยอมุมปาก เธอสาบานได้ว่าเห็นเขี้ยวคู่น้อยน่ารักตรงมุมปากทั้งสอง
“ลูกสาวคนโต ชื่อ การเวก” คุณหญิงแนะนำ “เด็กคนนี้เป็นใบ้”หล่อนเอ่ยแล้วแย้มรอยยิ้มจางให้ครูพี่เลี้ยง “แต่หูการเวกได้ยินชัดเจนดีกว่าคนปกติ เพียงแค่ยัยหนูพูดไม่ได้ ลูกสาวฉันจะสื่อสารกับเธอด้วยการเขียนข้อความลงบนกระดานชนวนนั่น” หล่อนชี้นิ้วไปยังกระดานดำหนาสองกระเบียดกว่า กว้างหนึ่งศอก ยาวศอกคืบซึ่งวางอยู่ข้างตัวเด็กหญิงผมสั้นมีแท่งดินสอพองอัดเป็นดินสอเขียนและผ้าชุบน้ำหมาดไว้ลบคำ
“กระดานชนวนหรือคะ” หญิงสาวเลิกคิ้วตะลึงงัน มะลินเคยเห็นกระดานโบราณทำจากไม้ทองหลาง และหินชนวนดำมันเลื่อมเช่นนี้เมื่อนานมาแล้ว เธอไม่นึกเลยว่ายังมีเด็กที่ไหนใช้กระดานโบราณเช่นนี้อยู่อีกคุณหญิงหุบรอยยิ้มเล็กน้อย เมื่อเห็นลูกจ้างจ้องกระดานชนวนอย่างคับข้องใจ “ไม่ต้องห่วงนะจ๊ะ หนูการเวกเขียนหนังสือคล่องแคล่วอ่านแตกฉาน น่าจะเรียนรู้ไวพอสมควร” หล่อนปลอบครูพี่เลี้ยงให้คลายใจกับความพิการของลูกสาว
“สวัสดีจ้ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะ การเวก”
มะลินยิ้มให้เด็กหญิงพอเป็นพิธี สายตาที่เด็กหญิงจ้องตรงมายังนิ่งงัน ก่อนหยิบกระดานชนวนขึ้นมาขีดเขียนด้วยดินสอพองอย่างรวดเร็วแล้วยกขึ้นตั้งฉากบนตักให้ครูพี่เลี้ยงอ่าน มะลินย่นคิ้วหนาแล้วเพ่งมองถ้อยคำบนกระดานซึ่งเขียนด้วยดินสอพองสีขาว
‘สวัสดีค่ะ คุณพี่มะลิน ต้อนรับสู่ถิ่นเรือนอสุรา’
ก่อนเด็กหญิงจะลบข้อความนั้นออกแล้วเขียนใหม่ว่า
‘ผีสางนางไม้ มากมายนานา รอบรั้วอสุราของเรา’
มะลินตาค้างกับข้อความในกระดานชนวนดังกล่าว เธอขนลุกแล้วหันมองคุณหญิงสีวิกาซึ่งยังคงยิ้มระรื่นราวกับลูกสาวหล่อนเป็นเด็กตลกที่ชอบโกหกใครต่อใครอย่างปกติ หญิงสาวสูดหายใจแล้วยิ้มให้เป็นการตอบรับ การเวกคงคิดจะขู่เธอให้กลัวตามประสาเด็กไม่คุ้นเคยกับคนแปลกหน้า แต่เพราะเธอต้องอยู่ที่นี่อีกนาน มะลินจึงหาทางรับมือเด็กหญิงด้วยวิธีลื่นไหลไปตามน้ำ
“จริงอย่างที่เขียนหรือจ๊ะการเวก ถ้างั้นก็ดีเลย บ้านของหนูน่าอยู่จริง ๆ” เธอแค่นหัวเราะ “หนูเป็นเด็กมีพรสวรรค์ ข้อความที่เขียนมีสัมผัสอย่างเชิงกลอนซะด้วย ถ้าชอบเขียนก็เขียนให้พี่อ่านเยอะ ๆ นะคะ เราคงต้องแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้วยกันอีกมาก” เธอแสดงให้เห็นว่ารับมือกับความบกพร่องของการเวกได้ หากเด็ก ๆ ในเรือนเกิดดื้อขึ้นมา มะลินมั่นใจว่าจะไม่มีทางปล่อยให้เด็กเหล่านั้นรอดมือเธออย่างแน่นอน เพราะเธอเคยรบรากับเด็กเกเรมามากมาย จึงได้ทักษะรับมือเด็กมาเพียบ เตรียมพร้อมสำหรับสถานการณ์ยุ่งยากในอาชีพนี้
เด็กหญิงไม่ได้ยิ้มตอบครูพี่เลี้ยงคนใหม่ ยังคงตั้งหน้ากระดานหันให้เธออ่านอยู่เช่นนั้น สีหน้าไม่ได้บ่งบอกว่ากำลังเล่นสนุกกับถ้อยคำที่กล่าวมาแม้แต่นิด
เพื่อเลี่ยงคำถามอื่นเกี่ยวกับตัวลูกสาว คุณหญิงสีวิกาจึงรีบแนะนำลูกชายอีกสองคน น้องชายคนกลางของการเวกชื่อรักซ้อน เป็นเด็กอายุราว ๆเจ็ดถึงแปดขวบ ดวงตาของเด็กชายบอดเกือบสนิททั้งสองข้าง นัยน์ตาดำของรักซ้อนเจือสีแดงเข้ม มะลินถามคุณหญิงภายหลังว่าทำไมนัยน์ตาของเด็กชายจึงมีสีเช่นนี้ คุณหญิงบอกว่าเป็นความผิดปกติทางพันธุกรรมนอกจากนี้เขายังดูแตกต่างจากเด็กชายทั่วไปเพราะมีผิวสีเหลืองทองสวมเสื้อผ้าแพรแขนสั้นคาดเข็มขัดเงินรอบเอว ผมจุกเป็นมวยกลางกระหม่อมประดับพวงมาลัยเล็กส่งกลิ่นหอมของดอกไม้สด
เด็กชายถือตุ๊กตาดินเผารูปควายสีดำตัวหนึ่งท่าทางรักซ้อนจะหวงของเล่นชิ้นนั้นมาก
“รักซ้อนมองไม่เห็น เธอต้องระวังเวลาพาเขาไปไหน เขาต้องใช้ไม้เท้าคนตาบอดคลำทาง” คุณหญิงคนสวยอธิบายเสริม “ลูกชายฉันชอบปั้นดินเหนียวเล่น แม้ว่าตาจะบอดแต่ก็ชอบทำงานศิลปะเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างการปั้น ควายที่อยู่ในมือรักซ้อนชื่อ เจ้าทุย เป็นควายแสนรักของพ่อคุณเขาเลย”
คุณหญิงสีวิกาพูดราวกับเจ้าทุยของลูกชายมีชีวิตจริง มะลินรู้สึกเวทนาคุณหญิงผู้แสนใจดีเหลือเกิน หล่อนมีพร้อมทั้งบ้านหลังใหญ่และทรัพย์สินมากมาย แต่กลับให้กำเนิดลูกพิการถึงสามคน
“ฉันเข้าใจค่ะ” มะลินพยักหน้า
“แม้ว่ารักซ้อนจะมองไม่เห็น แต่บุญและวาสนาคงทำให้เขากลายเป็นศิลปินได้ไม่ยาก ดูจากตุ๊กตาควายที่เขาปั้นขึ้น สวยเหมือนควายตัวจริงทุกกระเบียดนิ้ว น่ารักชนิดที่คนตาดี ๆ อย่างฉันไม่อาจปั้นเก่งเท่า” คุณหญิงสีวิกาเอ่ยชมลูกชาย
“แต่เจ้าทุยไม่ใช่ตุ๊กตา” รักซ้อนเอ่ยบอกครูพี่เลี้ยงของเขา
“จะใช่หรือไม่ก็ช่างเถอะจ้ะ” คุณหญิงสีวิกาจุปาก “อย่าดื้ออย่าซนกับพี่เขา เข้าใจไหมรัก การเวกก็ด้วย” หล่อนสั่งลูก ๆ ทั้งสองพลางลูบหัวลูกชายคนสุดท้องซึ่งนั่งอยู่บนตักตัวเอง
มะลินยิ้มอ่อนแล้วเลื่อนระดับสายตาลงต่ำจับจ้องร่างเด็กน้อยที่กำลังหลับอยู่ในอ้อมอกแม่ชื่อมะยม เด็กคนสุดท้ายที่เธอต้องดูแล และเด็กคนนี้มีความบกพร่องที่น่ากังวลที่สุดเพราะเดินเหินไม่ได้อย่างใครอื่น เธอพิจารณาเส้นขวัญขมวดอยู่บนศีรษะกลม เส้นผมสีเทาอ่อนแทบขาวนั้นเส้นเล็กราวกับขนสัตว์หนานุ่ม แก้มของคุณหนูน้อยป่องราวกับลูกท้อน่ารักน่าหยิก เมื่อคุณหญิงตบก้นเบา ๆ เสียงกระพรวนจากกำไลข้อมือและข้อเท้าของเด็กน้อยก็สั่น ทำเอามะลินนึกขึ้นได้เมื่อเห็นว่ากำไลทองคำที่ข้อเท้าข้างหนึ่งของเจ้าตัวเล็กหายไป
“คุณหญิงสีวิกาคะ เมื่อคืนฉันพบสิ่งนี้…” เธอหยิบกำไลข้อเท้าเด็กที่เก็บได้ส่งกลับคืนให้คนเป็นแม่ “มันตกอยู่นอกเรือนระหว่างทางไปห้องน้ำค่ะเลยเอามาคืนให้ นึกแล้วว่าต้องเป็นของคุณหนูมะยม” เธอหวนนึกถึงลูกลิงเมื่อคืนก่อนที่ปีนขึ้นหลังคาเรือนแล้วนึกเวทนาในใจ สัตว์เล็กสัตว์น้อยยังโลดโผนได้อย่างเสรี แต่เจ้าหนูคนนี้เกิดมาก็เดินไม่ได้
“ใช่ นี่ของยม” คุณหญิงรับกำไลลูกชายกลับคืน ก่อนสวมที่ข้อเท้าเล็กข้างที่ว่างเปล่าให้ครบดังเดิม “เจ้าหนูนี่ชอบซนดึก ๆ ดื่น ๆ อีกแล้วสิ” เธอพึมพำแผ่วเบา มะลินเลยได้ยินไม่ชัดเท่าไร “ต้องขอโทษด้วยนะจ๊ะ และขอบคุณที่เธอนำกำไลข้อเท้าของเจ้ายมมาคืนให้” คุณหญิงเอ่ยชมนึกพึงพอใจในความซื่อสัตย์ของลูกจ้าง
มะลินเลิกคิ้ว “ไม่เป็นไรค่ะ มันเป็นหน้าที่ของฉันอยู่แล้ว”
“ยมยังเล็กอยู่มาก เพิ่งสามขวบไม่นาน และกำลังหัดพูดให้เก่งขึ้นยมกินกล้วยบดวันละสามมื้อ แต่เราจะมีแม่นมคอยดูแลเรื่องยิบย่อยอย่างการจัดอาหารและอาบน้ำเด็ก เธอแค่คอยให้ความรู้พวกเขาอย่างที่ครูข้างนอกสอนก็เพียงพอ” คุณหญิงว่า “หวังว่าเธอจะไม่มีปัญหาอื่นใดกับการเวก รักซ้อน และมะยมนะจ๊ะ เด็กพวกนี้โชคดีแล้วที่ได้เธอมาเป็นครูพี่เลี้ยงคอยเอาใจใส่ ฉันรู้ว่าเธอต้องทำงานได้ดีเกินกว่าที่ฉันหวังลำพังฉันคนเดียวดูแลลูก ๆ ไม่ไหวแน่”
ครูพี่เลี้ยงมองคนตรงหน้าด้วยนัยน์ตาหมองเศร้าลงวูบหนึ่ง เธอจับมือหล่อน “ฉันรับปากว่าจะตั้งใจทำงานค่ะ คุณหญิงสีวิกาหมดห่วงได้เลย” เธอให้กำลังใจคุณแม่ลูกสาม
มะลินมีศาสตร์ในการผูกมิตรกับคนของเรือนอสุรา เธอคิดว่าอันดับแรกต้องตีสนิทคนงานระดับล่างสุดเสียก่อน เมื่อผูกสัมพันธ์อันดีกับข้าทาสบริวารทั้งหลายแล้ว พวกเขาอาจจะคายความลับของเรือนอสุราให้เธอฟัง และค่อยไต่ระดับเข้าถึงชนชั้นสูงของเรือนลำดับถัดไป
คนงานที่ว่าเหล่านั้นคือนายสิญจน์ คนพายเรือประจำเรือนคอยรับส่งท่านขุนบุราณและคุณหญิงสีวิกาเป็นประจำ นอกจากนี้ยังทำหน้าที่พายายสายบัวกับแม่นมไปจ่ายตลาดอีกด้วย
คนที่สองคือนายทองคนสวน บ่าวคนสนิทของท่านขุนบุราณที่เธอเจอคนแรก พื้นเพเขาเป็นคนสุพรรณและมีรอยสักรูปจิ้งจกโดดเด่นตรงอกซ้าย เขาบอกว่าเป็นรอยสักเมตตามหานิยมซึ่งนิยมในหมู่ผู้ชายสักแล้วจะมีเสน่ห์ เจ้านายรัก ใครเห็นใครชอบ
คนสุดท้ายก็คือ ลำเทียน เด็กรับใช้ของคุณหญิงสีวิกา เขาไม่ค่อยพูดจาสักเท่าไร แต่เธอมักเห็นหมอนี่เดินถือกระด้งใบเดียวประจำ เธอเคยถามว่าจะเอาไปตากปลาเค็มหรือเปล่า แต่เขากลับส่ายหน้าและปีนบันไดลิงขึ้นไปนั่งบนหลังคา
นายลำเทียนอ้างว่า “ผมทำกระด้งหายไปหนึ่งใบ เลยขึ้นไปดูว่าลืมไว้บนหลังคาหรือเปล่า น่าจะตกอยู่ที่ไหนสักแห่ง” พ่อหนุ่มคนนี้ดูจริงจังกับการหากระด้งใบโปรดของเขา เธอไม่คิดว่ากระด้งใบเดียวจะหาซื้อใหม่ยากนัก แต่นายลำเทียนบอกว่าเขาสานกระด้งใบนั้นเองกับมือจึงรักมันมาก
สรุปก็คือเด็กรับใช้ที่นี่ค่อนข้างแปลกคน ออกจะเป็นตัวของตัวเองเกินไปหน่อย ซึ่งเธอตำหนิพวกเขาไม่ได้ เพราะเธอเองก็มีบุคลิกแปลก ๆอยู่เหมือนกัน
หญิงสาวได้ยินนายทองเล่าว่านายสิญจน์เป็นสิงห์เหล้าประจำแทบทุกเย็น เธอจึงตัดสินใจนัดชายทั้งสองมาก๊งสุรากันนอกเรือนบริเวณท่าน้ำใกล้กับที่จอดเรือ ซึ่งมีศาลาเล็กไว้รับแขก
พลบค่ำครูพี่เลี้ยงส่งมะยมเข้าห้องให้แม่นมย้อยกล่อมจนหลับส่วนรักซ้อนและการเวกเล่นอยู่ในห้องเดียวกับคุณหญิงสีวิกา มะลินถือโอกาสนี้หลบออกมาขนไหเหล้าจากหลังครัวออกมาดื่มกินทำนองหนุ่ม ๆนั่งเสวนาปราศรัย ส่วนนายลำเทียนท่าทางจะมีสติดีที่สุด แค่เธอเอ่ยปากชวนก็โดนปฏิเสธทันที เขาคงหมกมุ่นกับกระด้งที่หายไปมากกว่าจะสนใจมาก๊งเหล้าด้วยกัน
หลังพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า ริมท่าน้ำมีลมพัดโกรกเย็นสบายชายสองหญิงหนึ่งกำลังดื่มสุรากันที่ศาลาท่าน้ำ แม้ว่ามะลินจะคอแข็งระดับแชมป์ดวลไหสุรายาดองแต่เธอเลือกไม่ลิ้มลองน้ำในไหมากนัก เพราะอยากให้ชายทั้งสองเมาจนยอมตอบคำถามทุกข้อโดยไม่ปิดบัง ขึ้นชื่อว่าเหล้าสุราซึ่งเป็นของอบายมุข ต่อให้ปากบอกแค่จิบสักนิดเพลินเข้าหน่อยก็ขาดสติจนพาตัวตาย ไม่ก็พาคนอื่นซวยไปด้วย
นายสิญจน์เป็นชายร่างเล็กแต่ล่ำสันโพกผ้ารอบศีรษะอย่างชาวมอญตอนไม่เมาเป็นคนสุภาพพูดจาดีรู้จักสัมมาคารวะ แต่พอเหล้าเข้าปากไม่กี่อึก หมอนี่ก็เมาหย่ำเปถามสิ่งใดก็ตอบยืดยาว บางทีตอบไปเรื่อยเปื่อย
จนมะลินไม่รู้ว่าจะเชื่อคำพูดคนเมาดีหรือไม่
“พี่สิญจน์เป็นคนพายเรือที่นี่มานาน ฉันอยากรู้ว่าเรือนอสุราผีดุหรือเปล่า”
เธอลองหลอกถามเล่น ๆ แต่ไม่คิดว่าชายหนุ่มจะเล่าเรื่องที่ตรงกับความจริงได้ทั้งหมด ขณะที่นายทองคนสวนสวาปามกับแกล้มจนพุงกางนายสิญจน์เรอเอิ้กอ้ากแล้วพล่ามให้เธอฟังทั้งที่นั่งหลังไม่ตรง
“ผีในเรือนอสุราไม่ค่อยดุหรอก แต่โคตรของโคตรดุเลยต่างหาก”เขากอดไหเหล้าแล้วมองหน้าหญิงสาวด้วยขอบตาแดงเรื่อ “พี่เคยเจอผีผู้หญิงมายืนโบกเรือตอนมืด ๆ วันนั้นพายเรือท้องแบนกลับค่ำไอ้เราก็ดีใจนึกว่าสาวสวยที่ไหนมายืนห่มสไบโบกมือเรียกอยู่ที่ท่าน้ำ พอพายเข้าไปใกล้เท่านั้นแหละ กระโดดลงเรือว่ายน้ำหนีแทบไม่ทัน” เขาส่ายหัวแล้วตัวสั่น “หน้านางเละเป็นศพเลยครูมะลิน อย่าหาว่าไม่เตือนผีพรายผีน้ำแถวนี้เฮี้ยนครับ” นายสิญจน์คุยจ้อแล้วรินสุราอีกจอก
นายทองเห็นมะลินหน้าซีดก็เล่าบ้าง เพราะตัวเขายังอาการไม่หนักเท่านายสิญจน์ “กระผมก็เคยเจอดี ไม่ได้ขู่นะครับคุณมะลิน แต่เคยเจอในสวนนี่ล่ะครับ ตกเย็นต้นไม้แถวนี้ต้องระวังเพราะมีนางไม้มาสิง พวกวิญญาณเร่ร่อนไม่ดุเท่าไหร่แต่วิญญาณถิ่นเรานี่สิครับคุณ เผลอไปทำผิดเข้าหน่อย อาจถึงตายเชียว เจ้าที่แรงครับ กระผมขอเตือน”
มะลินขนลุกชัน เธอจะอยู่ที่นี่ได้เกินเดือนหรือเปล่า “พวกนายอย่าหลอกให้ฉันกลัวนะ ฉันต้องทำงานที่นี่อีกนาน”
“กระผมจะหลอกคุณมะลินทำไมเล่า มันผิดศีล” นายทองคนสวนเงยหน้ามองดวงจันทร์บนฟ้า “แต่คุณมะลินคงไม่โดนผีหักคอหรอก กระผมรับรองได้เลย ดวงแข็งอย่างคุณผีที่ไหนจะกล้าหักคอ หรือถ้ากล้าก็คงต้องเจอของแรงกว่าใช่ไหมครับ” เขายิ้มยิงฟันให้เธอ คนฟังไม่ค่อยแน่ใจในสิ่งที่ชายหนุ่มฟันธงสักเท่าไรนัก
“นายรู้ได้ยังไงว่าฉันดวงแข็ง เห็นห้าวแบบนี้ ฉันกลัวผีตายชัก” เธอเหลียวมองไปรอบกายอย่างหวาดหวั่น
“กระผมรู้ก็แล้วกันว่าคุณมีของดีกับตัว” นายทองยิ้มอย่างมีลับลมคมในในตอนนั้นเอง นายสิญจน์เกิดปวดปัสสาวะขึ้นมากะทันหัน เขาเมาจนต้องลุกเดินไปยืนยิงกระต่ายแถวกอกล้วย มะลินมองตามคนพายเรืออย่างเป็นห่วง นายสิญจน์ผิวปากและร้องเพลงก่อนจะปลดทุกข์ข้างต้นกล้วยสบายใจเฉิบ หญิงสาวถอนหายใจแล้วหัวเราะเมื่อนายทองคนสวนเล่าว่านายสิญจน์ชอบปวดเบาประจำเวลาดื่ม บางทีทำเรี่ยราดจนท่านขุนบุราณด่ามะลินจึงค้านว่าต่อไปคงไม่ให้หมอนี่มาร่วมวงก๊งเหล้าด้วยแล้ว
หญิงสาวคุยกับคนสวนอย่างถูกคอไม่ทันไร เสียงกรีดร้องเหมือนโดนน้ำร้อนลวกของนายสิญจน์ก็ดังมาจากตรงที่เขาเพิ่งทำธุระส่วนตัวมะลินกับนายทองต่างสะดุ้งหันขวับไปมอง ตาเบิกตากว้างเพราะสิ่งที่เธอเห็นคือ ผู้หญิงแต่งชุดไทยห่มสไบเหลืองอ่อนยืนจ้องหน้านายสิญจน์คนเมาแหกปากโหยหวนก่อนจะถูกสาวผู้นั้นตบหน้าด้วยหลังมือ
เผียะ !
ใจมะลินตกไปถึงตาตุ่ม แรงตบของเจ้าหล่อนรุนแรงถึงขนาดทำคนพายเรือร่างเล็กกระเด็นลอยลิ่วตกลงในคลองด้านข้าง
ตู้ม !
เสียงน้ำแตกกระจายพร้อมกับชายผู้เมามายจมหายลงไป มะลินก็รีบกระโจนลงคลองว่ายไปช่วยนายสิญจน์โดยไม่รอช้า เพราะขืนปล่อยให้คนเมาจมน้ำนาน มีหวังได้ขาดอากาศดับคาก้นคลองแน่ น้ำในคลองเย็นจนนายสิญจน์สร่างเมา เมื่อมะลินว่ายไปถึงตัวเขา หญิงสาวใช้เวลาพอสมควรเพื่อลากตัวคนพายเรือแล้วขึ้นมาจากน้ำ ก่อนจะส่งให้นายทองแบกกลับไปดูอาการที่ใต้ถุนเรือน แก้มข้างหนึ่งของนายสิญจน์แดงเถือกเป็นรอยมือ
นายทองคนสวนเอาแต่พึมพำว่า “อีกแล้ว เตือนแล้วไม่เคยฟังว่าอย่าเผลอไปฉี่ตรงนั้น”
มะลินหายใจหายคอแทบไม่ทัน รู้ตัวอีกทีเธอก็นั่งหอบตัวเปียกเป็นลูกหมาตกน้ำอยู่ตรงหน้าผู้หญิงนุ่งโจงกระเบนสีเขียวอ่อน ห่มสไบเหลืองอร่าม หล่อนเป็นคนตบนายสิญจน์ตกคลองเมื่อครู่นี้ และก้าวมาหยุดตรงหน้าเธอด้วยเท้าเปลือยเปล่า มะลินได้กลิ่นหอมของปลีกล้วยจึงค่อย ๆ เงยหน้ามองหล่อน เด็กสาวตรงหน้ามีเส้นผมหนาเคลียไหล่ใบหน้าอิ่มเหมือนดวงจันทร์ เมื่อมะลินสบสายตา หล่อนค่อย ๆ คลี่ยิ้มทีละนิดแก้มซีดขาวฝาดเลือดขึ้นทุกขณะ พอเห็นว่าอีกฝ่ายน่ารักแค่ไหนเธอก็อึกอักทำตัวไม่ถูก แต่ก็ยังรู้สึกใจหายใจคว่ำที่ผู้หญิงตัวเล็กอย่างหล่อนตบพี่สิญจน์ตกคลองด้วยการฟาดหลังมือเพียงครั้งเดียว ลำแขนเรียวอ่อนและผิวละเอียดช่างดูบอบบางจนไม่น่าจะมีแรงทำร้ายใครได้เลย มะลินไม่อยากเชื่อสายตาว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นความจริง
มะลินละล่ำละลัก “ต้องขอโทษด้วยนะคะที่พี่สิญจน์คนพายเรือของเรือนนี้ดันไปทำสกปรกตรงต้นกล้วย” เธออายแทนชายหนุ่มเหลือเกินแต่ก็ยังไม่วายแอบกังขาในตัวเด็กสาวอยู่ “ไม่ทราบว่าคุณคือ…”
‘พุดตานเจ้าค่ะ’ เด็กสาวเอ่ยเสียงใส หล่อนมองมะลินราวกับคนคุ้นเคยไหล่เล็กกระเพื่อมไหวตามแรงลมขณะทำคิ้วลู่ ‘คุณมะเลื่องจำอิฉันมิได้หรือคุณจากไปนานแสนนาน อิฉันเฝ้ารอพบคุณมาตลอดหลายสิบปี มาอยู่กับอิฉันเช่นเคยเถิดเจ้าค่ะ อิฉันจะดูแลคุณมะเลื่องเอง’
หล่อนยื่นมือมาหา แต่มะลินมองอย่างมึนงง “คุณพูดอะไร ฉันไม่ใช่ คุณมะเลื่องนะคะ แล้วบ้านคุณอยู่ไหนคะ หรืออยู่ในเรือนอสุราเหมือนกันคุณมาอยู่ตรงนี้คนเดียวตอนพี่สิญจน์ เอ่อ… ทำแย่ ๆ ใส่ต้นกล้วยแถวนี้ทำไมกัน แถมยังตบเขาตกน้ำอีก พี่สิญจน์เขาเมา เขาไม่ได้ตั้งใจ” เธอคิดว่าหล่อนอาจรู้จักกับนายสิญจน์เป็นการส่วนตัว หรือไม่ก็อาจเป็นคนรักของเขาถึงกล้าตบเขาจนปลิวตกคลองแบบนั้น ทว่าเด็กสาวกลับส่ายหน้า ดวงตาของหล่อนแวววาวเพราะความโกรธ
‘ที่ตบเพราะเขาทำต่ำช้ากับที่ของอิฉัน’ เด็กสาวห่อไหล่ต้านลม‘ความทรงจำคุณคงเลือนแล้วกระมังคะ อิฉันหาได้เป็นคนบนเรือนอสุราไม่บ้านของอิฉันก็อยู่ที่ต้นกล้วยเหล่านี้อย่างไรเล่า มาเถิดคุณ’ เด็กสาวเอ่ยชักชวน ทำให้มะลินยิ่งมึนไปใหญ่
“คนอะไรจะอยู่ในกอกล้วย” มะลินอยากหัวร่อให้ท้องแข็ง “คุณคงล้อฉันเล่นใช่ไหม นี่ดึกแล้วมีแต่พวกขี้เมาเพ่นพ่าน คุณรีบกลับเข้าบ้านเถอะ มันอันตราย เป็นสาวเป็นนางมายืนใส่ชุดไทยค่ำมืดอย่างนี้ ไม่ดีนะคุณถือว่าเรื่องที่คุณทำพี่สิญจน์ตกน้ำ ฉันจะแสร้งไม่รู้ไม่เห็นก็แล้วกัน” เธอรู้สึกสงสารหล่อนอย่างบอกไม่ถูก
‘จำมิได้หรือ ตอนคุณยังเล็ก ๆ สมัยแถบนี้ยังมีแต่ป่าต้นกล้วยรกชัฏพวกชาวบ้านคิดจะตัดป่ากล้วยแถบนี้ทิ้ง คิดขับไล่ให้อิฉันไม่มีที่อยู่อาศัยกระทั่งได้คุณช่วยปกป้อง จนบัดเดี๋ยวนี้แม้จะเหลือต้นกล้วยไม่มากเท่าแต่ก่อน แต่อิฉันสำนึกพระคุณของคุณมะเลื่องเสมอมา ไม่ว่ากี่ภพกี่ชาติกี่ปีกี่สมัย’ เด็กสาวชื่อพุดตานหยักยิ้ม แถมยังทำตาซาบซึ้งก้มลงกราบแทบเท้าหญิงสาว
มะลินรีบพยุงตัวหล่อนขึ้นมา เนื้อตัวเด็กสาวคนนี้เย็นจนมือเธอแทบชา “เฮ้ย คุณ ๆ อย่าทำแบบนี้สิ เดี๋ยวใครมาเห็นก็เข้าใจผิดกันพอดีคุณคงจำคนผิดแน่เลยฉันไม่ใช่คนที่คุณรู้จักหรอกค่ะ ตอนเด็กบ้านฉันอยู่อยุธยาเพิ่งมาที่นี่เมื่อวันสองวันนี้เอง” มะลินชักไม่แน่ใจว่าเด็กสาวคนนี้ เพี้ยนหรือเมายากันแน่
‘อิฉันจะลืมได้อย่างไร กลิ่นของคุณ… กลิ่นดวงวิญญาณของคุณมะเลื่อง ยังแข็งแกร่งและหอมหวนดังเช่นวันก่อนเสมอมาเจ้าค่ะ’ พุดตานพูดราวกับคนเพ้อ
“ฉันขอตัวขึ้นเรือนก่อนแล้วกัน ฉันเตือนเธอให้กลับบ้านแล้วไม่เชื่อก็ตามใจ แล้วก็อย่าทำร้ายใครแบบนั้นอีก คนเมาอาจจะตกน้ำตายก็ได้”
เธอดุเสียหน่อย คิดว่าเด็กสาวคนนี้ก็คงจะเมาหรือไม่ตัวเธอเองที่เริ่มเมาแล้วหูเพี้ยนได้ยินแต่เรื่องแปลกประหลาด
พุดตานพยักหน้าเชื่อมั่น ‘แล้วอิฉันจะรอพบคุณอีกเจ้าค่ะ จะรออยู่ที่ตรงนี้ทุกคืน เหมือนสมัยก่อนที่คุณชอบมาคุยมาเล่นกับอิฉัน’
เด็กสาวส่งกล้วยลูกอ้วนพีในมือมอบให้มะลิน เธอรับมันไว้ด้วยใจสับสน มะลินเชื่อแน่ว่าหล่อนคงสติไม่ค่อยดีถึงได้พร่ำเพ้อราวกับคนบ้าเช่นนี้ เธอจึงเดินกลับเรือนพร้อมกับกล้วยลูกเดียวในมือ แต่เดินมาได้ไม่กี่ก้าวเธอก็หันหลังไปมองยังป่าต้นกล้วยอีกครั้ง คราวนี้ไม่มีเด็กสาวอยู่ตรงนั้นอีกแล้ว รอบท่าน้ำไม่เห็นใครอื่น ได้ยินแค่เสียงอ้วกของนายสิญจน์กับเสียงบ่นของนายทองแว่วมาเพียงเท่านั้น
ขนคอเธอลุกชัน กล้วยลูกอ้วนที่รับมา เธอจะกล้ากินหรือไม่
(ติดตามตอนต่อไป) บทที่ 2 ==> |
<== บทนำ |
กลับหน้าหลัก |
[catlist name="เรือนอสุรา-บ้านนี้ผีเพี" numberposts=0]