1168 PUBLISHING
รีวิวนิยาย

✨ รีวิว SEVEN HOPE เจ็ดอสูรป่วนพี่เลี้ยงตัวแสบ เล่ม 1 💕

จากหนึ่งเดียวสู่ครอบครัวใหญ่

⚠️ เนื้อหาอาจมีสปอยล์ ⚠️

วนเวียนมาพบกับนิยายเล่มแรกที่เปิดจักรวาล SEVEN HOPE อีกครั้ง คราวนี้เราจะรีวิวแบบจัดหนักจัดเต็มเพื่อตกนักอ่านให้หยิบนิยายแสนน่ารักนี้มาอ่านเป็นครั้งแรก (หรืออาจจะครั้งที่ N) เตรียมใจเอาไว้ให้ดี เพราะต่อจากนี้คุณอาจจะหลุดเข้าไปในโลกแฟนตาซีที่อุดมไปด้วยเด็กอสูรทั้ง 7 และพี่เลี้ยงคนสำคัญของพวกเขาโดยไม่รู้ตัวก็เป็นได้ !


จุดเริ่มต้นของพี่เลี้ยง

โฮป จอมมารผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลเด็ก

จากเด็กชายอายุ 18 ผู้เคยมีครอบครัว (ปลอม ๆ) คือพ่อแม่บุญธรรมที่ไม่ค่อยเอาใจใส่ แต่โฮปก็เติบโตขึ้นมาเป็นเด็กที่มีคุณภาพ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการเลี้ยงดูของคุณปู่ แม้คุณปู่จะจากไปแล้ว แต่ตัวตนที่สั่งสอนให้โฮปเป็นเด็กดียังคงอยู่และส่งต่อไปให้คนอื่น ๆ ด้วย

หากอ้างอิงจากเล่มนี้ นักอ่านจะเห็นว่าโฮปเป็นเด็กที่มีพลังบวกมากแค่ไหน ถึงจะเจอเรื่องราวเลวร้ายแต่เจ้าตัวก็ไม่ได้คิดลบ ยกตัวอย่างเหตุการณ์ที่คุณปู่เสียชีวิต ตนเองต้องเข้ามาอยู่ในบ้านเด็กกำพร้า และถูกรับเลี้ยงโดยพ่อแม่บุญธรรมซึ่งภายหลังก็ไปติดหนี้ก้อนโตไว้จนโฮปถูกขายเพื่อชดใช้เงิน ถึงอย่างนั้น ตัวเอกของเราก็ไม่ได้ร้องไห้ ฟูมฟายเสียสติ ทั้งยังหาข้อดีเล็ก ๆ น้อย ๆ จากแต่ละเหตุการณ์ได้ เช่น หลังจากที่รู้ว่าตนต้องเป็นพี่เลี้ยงเด็กถึง 50 ปีและมีวันหยุด 1 วัน แม้จะตกใจแต่เขาก็คิดไปว่า ‘ก็ยังดีมีวันหยุด จะเอาเงินไปซื้อเกมเล่นให้หนำใจเลย’

พี่เลี้ยงอย่างโฮปคนนี้ถือว่าเป็นตัวละครที่ฉลาด และรับมือเด็กได้เก่งเพราะประสบการณ์จากบ้านเลี้ยงเด็กกำพร้าที่ตนแวะเข้าไปเยี่ยมเยียนเสมอ ตัวอย่างเหตุการณ์ที่ทำให้เห็นได้ชัดคือการกล่อม (?) วาเรน เจ้าชายแวมไพร์น้อยจอมหยิ่งให้เข้าร่วมการเล่นซ่อนหาได้

ฉลาด หัวไว แก้ปัญหาเฉพาะหน้าเก่ง มากประสบการณ์ เข้ากับเด็กได้ดี เป็นมิตร ครบเครื่องขนาดนี้จะไม่หลง เอ๊ย ! ไม่รับเข้าทำงานได้ยังไง


เด็ก ๆ ทั้ง 7

เด็กอสูรต่างเผ่าพันธุ์แต่เป็นหนึ่งเดียวกันเมื่อเป็นเรื่องของโฮป

หลังจากโฮปถูกส่งมาต่างมิติ ก็เริ่มด้วยการเปิดตัวเด็ก ๆ ออกมาทีละคน ตั้งแต่เจ้าชายมนุษย์ (มิคาน่า), งู (สเน็ค), เจ้าชายเงือก (โรว่า), มังกร (นอคช์), เจ้าชายยักษ์แดง (โรลเทีย), เจ้าชายหมาป่าเงิน (โดโลเรส), และเจ้าชายแวมไพร์ (วาเรน)

การค่อย ๆ ปล่อยเจ้าชายออกมาทำความรู้จักกับโฮปทีละคนก็ทำให้นักอ่านได้เรียนรู้นิสัยของเด็ก ๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นลักษณะเด่นของแต่ละเผ่าพันธุ์ เช่น สเน็คแห่งเผ่าพันธุ์งูเป็นเด็กน้อยขี้แกล้งและเจ้าเล่ห์ หรือโดโลเรสแห่งเผ่าพันธุ์หมาป่าเป็นเด็กน้อยขี้เล่นและร่าเริงยิ่งกว่าใคร

ส่วนเด็กคนอื่น ๆ ก็มีนิสัยที่ต่างกันออกไป เช่น มิคาน่าแห่งเผ่าพันธุ์มนุษย์เป็นเด็กน้อยที่มีนิสัยเป็นมิตร โรว่าแห่งเผ่าพันธุ์เงือกมีนิสัยขี้อายและขี้ระแวง นอคช์แห่งเผ่าพันธุ์มังกรมีนิสัยเย็นชาและพูดน้อย คล้ายกับโรลเทียแห่งเผ่าพันธุ์ยักษ์ที่ถือว่าเป็นเด็กฉลาดสุด ๆ สุดท้ายคือวาเรนแห่งเผ่าพันธุ์แวมไพร์ที่มีนิสัยปากไม่ตรงกับใจ

แม้เหล่าอสูรจะมีนิสัยคนละขั้ว แต่ก็เรียกได้ว่าแตกต่างอย่างลงตัวด้วยพี่เลี้ยงอย่าง “โฮป”


ความสัมพันธ์ที่ถักทอ

ดวงตะวันที่ไม่เคยมืดดับ พร้อมทั้งส่องแสงนำทางเด็กทั้ง 7

สำหรับโฮป เด็ก ๆ คือน้องชาย คือลูกชาย คือบุคคลที่เขาต้องดูและและเอาใจใส่เป็นอย่างดี แต่สำหรับเด็ก ๆ แล้ว โฮปคือ ‘เจ้าสาว’ เอ๊ย ! ‘เครื่องสังเวย’ เอ๊ย ! ‘ของเล่น’ เอ๊ย ! ‘กุหลาบ’ เอ๊ย ! ‘เหยื่อ’ เอ๊ย ! พี่เลี้ยง (มั้ง ?) ทว่าไม่ใช่แค่ตำแหน่งผู้ดูแลเท่านั้น แต่โฮปยังเป็นแสงสว่างที่เจิดจ้า เป็นคนสำคัญที่ต้องปกป้องและคอยให้ความห่วงใยสำหรับเด็ก ๆ อีกด้วย

แสงสว่างราวดวงอาทิตย์ที่เฉิดฉายจากโฮป ถือเป็นจุดที่เชื่อมให้เด็ก ๆ ได้หลุดออกมาจากความมืดและเจอแสงสว่างในจุดเดียวกัน ความสัมพันธ์ของทั้ง 8 ค่อย ๆ สานเชื่อมกันจนแน่นแฟ้นขึ้นเรื่อย ๆ

ในเนื้อเรื่องได้แยกย่อยเป็นบทเจาะจงทีละตัวละคร โดยเล่าถึงโฮปที่ค่อย ๆ กะเทาะเข้าไปในจิตใจของเด็ก ๆ ด้วยวิธีการเข้าหาที่ต่างกันไปตามนิสัยและด้วยความจริงใจของเขา จนโฮปสามารถเข้าไปนั่งในหัวใจของเด็ก ๆ ได้


ขมวดปมกระตุกต่อมใส่ใจ

ความหลังที่ฝังใจเหล่าเด็กอสูร

เมื่อเด็กแต่ละคนถูกวาร์โรที่ถือว่าเป็นผู้ดูแลรับมาเลี้ยง พื้นเพของทุกคนจึงแตกต่างกันไป เด็กเหล่านี้ไม่ได้เต็มใจที่จะจากบ้านเกิดมาตั้งแต่เล็ก ๆ แต่ถือว่ามีเหตุจำเป็นที่ในเนื้อเรื่องใส่ไว้เป็นน้ำจิ้มให้นักอ่านทุกคนอยากรู้และอยากติดตามว่าทำไม เหตุใด และเพราะใคร


ตัวร้าย

หากไม่โลภก็คงไม่พบกับจุดจบ แต่สิ่งที่ตัวร้ายได้เจอนั้นถือเป็นจุดจบจริงหรือ ?

ขุนนางเทลเวล โทริอัสเป็นตัวร้ายที่คิดการณ์ใหญ่และสิ่งนั้นก็ย้อนกลับมาทำลายตัวเขาเองในตอนท้าย แต่บทลงโทษนั้นสาสมจริงหรือไม่

เมื่อความโลภไม่มีจุดสิ้นสุด ตัวร้ายอย่างขุนนางเทลเวลเป็นตัวละครที่ไม่ได้ถือว่าเป็นตัวละครแบน นักอ่านจะไม่ได้เห็นนิสัยรอบด้านของเขา แต่ก็ทำให้เห็นว่าเบื้องต้นเขามีความคิดอย่างไร มีนิสัยอย่างไร เป้าประสงค์คืออะไร และวางแผนอะไรไว้ ซึ่งแผนนั้นก็เป็นจุดที่คาดไม่ถึงว่ามีเขาอยู่เบื้องหลัง

นอกจากนี้เรื่องอำนาจและพลังก็ยังสมกับการมีสายเลือดเชื้อพระราชวงศ์ที่มีพลังมหาศาลไหลเวียนอยู่ ถึงกระทั่งถูกเรียกว่า ‘จอมเวทผู้แข็งแกร่งทัดเทียมราชา’ แต่ถึงอย่างนั้นเหนือฟ้าก็ยังมีฟ้า แต่ใครจะเป็นฟ้าที่ยิ่งใหญ่กว่าขุนนางเทลเวลกันล่ะ ?


การดำเนินเรื่อง

ค่อย ๆ เปิดเผยออก เหมือนแกะกะหล่ำปลีทีละใบ

ด้านการบรรยายและดำเนินเรื่องนั้นสามารถสร้างความประทับใจให้แก่นักอ่านได้ด้วยการค่อย ๆ เปิดใจของเด็กทีละคน โดยให้นักอ่านลุ้นว่าพี่เลี้ยงอย่างโฮปจะใช้วิธีการใด

เนื้อเรื่องบรรยายได้อย่างลื่นไหลตั้งแต่ตอนเปิดเรื่อง การสอดแทรกปมของเด็ก ๆ ไปจนถึงความขัดแย้ง (Conflict) ที่เกิดขึ้น อีกทั้งยังมีเส้นเรื่องแอ็กชัน ผจญภัย โดยใช้การบรรยายที่ทำให้จินตนาการและเห็นภาพในหัวได้อย่างง่ายดาย

นักเขียนใช้ภาษาที่เรียบง่ายสลับกับการใช้ภาษาที่งดงาม โดยขอยกตัวอย่างชื่อบท “บทเพลงอำลาแด่อสุราผู้เศร้าหมอง” หรือ “กาลเวลาผันเปลี่ยนวนเวียนดั่งหกฤดู” ซึ่งเป็นชื่อที่กินใจและสรุปเรื่องราวของบทนั้น ๆ ได้ในประโยคเดียว


ถอดแบบมาจากเกมจีบหนุ่ม

“ต้องทำอาหาร ทำให้เชื่อฟัง ให้ความไว้ใจ และความรัก…”

บรีฟที่โฮปได้รับก่อนจะถูกถีบส่งเข้ามาในโลกแฟนตาซีที่เด็ก ๆ อยู่กัน คือ “…คิดซะว่ามันเป็นแค่เกมจีบสาวหรือเกมเลี้ยงเจ้าหญิงที่เคยเล่นก็แล้วกัน” ซึ่งถือเป็นหนึ่งในลักษณะเด่นของนิยายเล่มนี้เลยก็ว่าได้ เนื่องจากพี่เลี้ยงของเราติดเกมจีบสาวมาก เล่นจนได้รับรางวัลหลายต่อหลายครั้ง เมื่อต้องมาเลี้ยงเด็กที่ไม่เคยรู้จักกันจึงไม่ต่างอะไรกับที่รีเวอร์ (ประธานบริษัทเกมผู้ส่งโฮปข้ามมิติมา) ว่าเอาไว้ตามประโยคข้างต้นเลย

นอกจากนี้ ในช่วงบรรยายอาจมีจุดที่โฮปไม่มั่นใจว่าควรทำอย่างไร บางครั้งก็จะมีตัวเลือก (ที่โฮปคิดเอง) โผล่ขึ้นมาเหมือนในเกมจีบหนุ่มนั่นเอง แม้โฮปจะไม่ได้ตัดสินใจตามตัวเลือกเหล่านั้นเท่าไหร่ก็เถอะ


Mood & Tone

หากเป็นพาเลตสี คงต้องประกอบด้วยสีหลักคือสีเหลืองอันอบอุ่นราวกับพระอาทิตย์ยามเช้า

บรรยากาศที่อบอวลในเรื่องเป็นบรรยากาศแสนอบอุ่น แม้จะมีปมที่ชวนให้หดหู่แต่ก็เป็นส่วนเล็กน้อย จึงเหมาะกับนักอ่านที่ไม่นิยมอ่านนิยายดรามา (แต่นักอ่านที่ชอบเรื่องราวเคล้าน้ำตาก็อ่านได้เหมือนกันนะ 🥺)

ทั้งนี้นักเขียนยังเสริมแทรกหรือบางจังหวะก็ใช้มุกตลกเข้ามาช่วยเกลี่ยโทนอารมณ์ไม่ให้เคร่งเครียดจนเกินไป นิยายเรื่องนี้จึงเหมาะกับนักอ่านทุกเพศทุกวัยเลยย


สรุป

จากที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น นักอ่านอาจเห็นภาพได้อย่างชัดเจนเลยว่า ความสัมพันธ์ของตัวละครในเรื่องนี้มีศูนย์กลางจักรวาลคือโฮปที่เป็นดวงอาทิตย์ และเด็ก ๆ ทั้ง 7 ก็เป็นบริวารที่โคจรอยู่ไม่ห่างมาเสมอ

นอกจากเนื้อเรื่องในเล่ม 1 นี้จะกล่าวถึงความสัมพันธ์และปมของเด็ก ๆ พอหอมปากหอมคอแล้ว ยังมีภาคแยกใหม่ล่าสุดซึ่งเป็นเรื่องราวของ ‘วาเรน’ เจ้าชายแวมไพร์ และ ‘โดโลเรส’ เจ้าชายหมาป่า ท้ายที่สุดจะเป็นอย่างไร เมื่อคนที่ต้องแยกเขี้ยวใส่กันทุกครั้งที่เจอหน้า ต้องหันมาให้ความร่วมมือกัน ? ร่วมหาคำตอบได้ในนิยายแฟนตาซีเล่มใหม่จาก 1168 ‘BUDDY HOPE สองอสูรป่วนคู่กัดในตำนาน’ กำลังเปิดพรีในราคาพิเศษอยู่ โดยเล่มใหม่ล่าสุดนี้ #สามารถอ่านแยกได้นะ ✨

🩸 พรีออร์เดอร์ราคาดี 50 เล่มเท่านั้น คลิก ! 🩸

🤍 คลิกเพื่อทดลองอ่าน

เมื่อความสงบสุขมาเยือนได้ไม่นาน พี่เลี้ยงคนสำคัญอย่าง โฮป ก็ถูกลักพาตัวไปอีกครั้ง โชคดี (?) หน่อยที่คราวนี้ไม่ได้ถูกจับตัวไปเพียงคนเดียว แต่ถูกจับไปพร้อมกับ วาเรน เจ้าชายแวมไพร์เลือดบริสุทธิ์และ โดโลเรส เจ้าชายหมาป่าเงิน ทว่าจะบอกว่าโชคดีก็คงจะพูดไม่ได้เต็มปากนัก เพราะทั้งสามดันมาโผล่ในดินแดนแวมไพร์ที่มีอาณาเขตเวทเป็นกำแพงที่ใหญ่ที่สุดกั้นระหว่างดินแดนมนุษย์กับดินแดนของเผ่าหมาป่าไว้ หากจะออกไปจากที่นี่จะต้องตอบรับคำสั่งล้างบางเผ่าพันธุ์ของแวมไพร์สาวตนนั้นจริง ๆ หรือ ?

“ดูเหมือนไม่มีอะไรสามารถสั่นคลอนสายสัมพันธ์แน่นแฟ้นของพวกเจ้าได้ ช่างน่าอิจฉานัก”