🌞 รีวิว SEVEN HOPE เจ็ดอสูรป่วนพี่เลี้ยงตัวแสบ เล่ม 2 ✨
การกลับมาพบกันอีกครั้งของครอบครัวที่แยกจาก
⚠️ เนื้อหาอาจมีสปอยล์ ⚠️
หาก SEVEN HOPE เจ็ดอสูรป่วนพี่เลี้ยงตัวแสบ เล่ม 1 เล่าเรื่องราวออกมาในโทนอบอุ่น เล่ม 2 ก็ถือเป็นขั้วที่เกือบจะตรงข้ามกัน เพราะอบอวลไปด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย หากสงสัยว่าหลากหลายยังไงบ้าง ตรงไหนบ้างก็เลื่อนลงไปอ่านกันเลย ตะลุยไปในโลกแฟนตาซีของพี่เลี้ยงและเหล่าอสูรทั้ง 7 กัน !
พี่เลี้ยงผู้สูญหาย
พี่เลี้ยงผู้สูญหายออกตามหาเหล่าเด็กอสูรซึ่งอันตรธาน
หลังพี่เลี้ยงกลับไปเยี่ยมบ้านได้ไม่กี่วันก็ประสบอุบัติเหตุจนเกิดเหตุการณ์สุดวิสัยที่ยากจะคาดเดา และเมื่อกลับมายังมิติที่เด็ก ๆ อยู่ก็รับรู้ว่าเวลาได้ล่วงเลยมาถึง 7 ปี และยังได้ยินข่าวเรื่องการเสียชีวิตของเด็ก ๆ จนสับสนไปหมด แต่โฮปของเราก็ไม่ได้ยอมแพ้หรือเชื่อในข่าวลือนั้นทันทีจนกว่าจะได้เห็นด้วยตาของตัวเอง
ด้วยเหตุนี้จึงเป็นจุดเริ่มต้นของพี่เลี้ยงผู้สูญหายออกตามหาเหล่าเด็กอสูรซึ่งอันตรธาน โดยมีผู้คอยช่วยเหลือ (ทั้งช่วยแบบออกหน้าออกตาและทั้งคอยช่วยอยู่อย่างลับ ๆ) เหมือนได้ย้อนกลับไปยังตอนที่เรื่องราวเกิด เพราะโฮปต้องออกตามหาเหล่าเด็กอสูรอีกคร้ัง
เรื่องราวในเล่มนี้จึงเน้นไปที่การตามหาเด็ก ๆ แต่ละคน คล้ายกับจุดเริ่มต้นของเล่มแรก แม้แต่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างลำดับการเจอตัวเจ้าชายยังแทบจะเรียงลำดับตามเดิมเหมือนเล่ม 1 เป็นการคงรายละเอียดให้นึกถึงความรู้สึกตอนอ่านเล่มก่อนหน้านี้สุด ๆ แต่จะแตกต่างกันตรงที่เด็ก ๆ ทุกคนล้วนโตแล้ว T-T และในเล่มจะขยายเขตการเดินทางออกจากบริเวณบ้านที่พวกเขาเคยอาศัยอยู่ และเน้นไปที่การผจญภัยให้อ่านกันอย่างจุก ๆ (กระซิบว่าจะได้เห็นบ้านเกิดเมืองนอนของเด็ก ๆ บางคนด้วยแหละ)
เด็กอสูรผู้แตกสลาย
เด็ก ๆ แยกย้ายออกไปตามหาเศษเสี้ยวของความหวังที่ขาดหายไป
แม้จะไม่ได้กล่าวถึงเหตุการณ์หลังจากที่โฮปอาละวาดมากนัก เนื่องจากจะเน้นเรื่องราวตอนที่โฮปตามหาเด็ก ๆ กันมากกว่า แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าร่องรอยแห่งความเสียใจยังมีอยู่ ทว่าก็ไม่เทียบเท่ากับความคิดถึง ความอาลัยอาวรณ์ และความคะนึงหาตลอด 7 ปีที่ผันผ่าน เช่น ประโยคเด็ดจากเจ้าชายมนุษย์ของเรา “ณ เวลานี้ ข้าจะไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไป เพราะบ้านของข้า… คือยามได้อยู่ข้างกายท่าน” (กรี๊ด 😌)
นอกจากเหล่าเด็กอสูรที่เติบโตขึ้นจนสูงแซงพี่เลี้ยงไปมากโขแล้ว สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด คือ เด็ก ๆ (บางคน) สุขุมขึ้นและซื่อสัตย์กับความรู้สึกที่มีต่อพี่เลี้ยงมากขึ้นนี่แหละ
นักอ่านบางคนอาจกลัวว่าเด็ก ๆ จะคับแค้นใจที่โฮปลงมือกับตนและสมาชิกในครอบครัวอย่างรุนแรงขนาดนั้นก่อนหายหน้าไป แถมยังทิ้งท้ายเอาไว้แบบชวนให้เจ็บใจด้วยประโยคท้าทาย คือ “ถึงฆ่าพวกเจ้าตอนนี้ไปก็ไม่ได้อะไร ไม่สนุกเลยสักนิด งั้นเรามาเล่นเกมกันหน่อยเป็นไง… เกมวิ่งไล่จับ… คราวนี้หากใครเจอตัวข้าก่อนแล้วสามารถฆ่าได้ คนคนนั้นจะเป็นผู้ชนะ น่าสนุกดีใช่ไหมล่ะ ได้ย้อนรำลึกความหลังดีด้วย… มันจะเป็นบทเรียนสุดท้ายของพวกเจ้า ตามหาข้าให้เจอนะ เหล่าเด็กน้อยผู้อ่อนต่อโลก” แต่ถึงอย่างนั้น เมื่อเหล่าเด็กอสูรได้พบหน้าพี่เลี้ยงอีกครั้งก็ไม่มีบรรยากาศอะไรแบบนั้น (ยกเว้นบางคนที่จำโฮปไม่ได้เท่านั้นแหละ 😢) แถมหลังจากที่ได้เจอโฮปอีกครั้ง เด็ก ๆ ก็แทบจะคิดไปในแนวทางเดียวกันว่าจะไม่ปล่อยให้พี่เลี้ยงคนสำคัญหลุดมือไปอีกด้วย
กอบเก็บความเป็นครอบครัว
เหล่าเด็กอสูรหวนคืนอ้อมอกพี่เลี้ยงคนสำคัญ
หากจะให้เปรียบความสัมพันธ์ของครอบครัวนี้กับสิ่งของหนึ่งอย่าง สิ่งแรกที่นึกขึ้นมาในหัวก็จะเป็น ‘จิกซอว์’ ที่หากขาดชิ้นส่วนใดชิ้นส่วนหนึ่งไป ภาพนั้นก็จะออกมาไม่ครบถ้วนและขาดโหวงไป และหากเด็ก ๆ เป็นชิ้นส่วนจิกซอว์ พี่เลี้ยงอย่างโฮปก็คงเป็น ‘กาว’ ที่ยึดเหนี่ยวเด็ก ๆ เอาไว้ให้อยู่ร่วมกันเป็นครอบครัว เป็นภาพที่สมบูรณ์แบบ
นอกจากพี่เลี้ยงคนเก่งจะเป็นกาวแล้ว ในเล่มนี้เขาก็ยังเป็นนักผจญภัยและนักสืบ โดยการใช้ข้อมูลที่ได้รับมาจากตัวช่วยที่บังเอิญได้พบเจอ การออกตามหาเด็ก ๆ ครั้งนี้จึงเหมือนการไล่ตามหาชิ้นส่วนจิกซอว์ที่กระจัดกระจายกันอยู่ บางชิ้นเปื้อนฝุ่น บางชิ้นเปียกน้ำ บางชิ้นซอมซ่อ โฮปก็ปัดฝุ่นซ่อมแซมใหม่จนกลับมาใกล้เคียงสภาพเดิม (ซึ่งก็คือการปลอบประโลมจิตใจของเจ้าเด็กตัวโตทั้งหลายนั่นแหละ)
ครอบครัวขยาย
ปริมาณที่มากขึ้นตั้งแต่จำนวนสมาชิกและความผูกพัน
ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นนับตั้งแต่โฮปเข้ามา เปลี่ยนไปตั้งแต่จำนวนสมาชิกและจำนวนผู้คนที่เหล่าเด็กอสูรเปิดใจรับ รวมไปถึงความเชื่อใจและความผูกพันที่แผ่กว้างขยายใหญ่ขึ้น
ไม่ใช่แค่เด็ก ๆ เปิดใจโอบรับโฮปเข้าเป็นหนึ่งในครอบครัวเท่านั้น แต่เหล่าอสูรยังยอมรับสมาชิกต่างเผ่าพันธ์ุที่อาศัยอยู่ภายใต้หลังคาเดียวกัน แม้จะหลีกเลี่ยงการทะเลาะกัน (ด้วยฝีปากหรือกำลััง) ไม่ได้ก็ตาม แต่ก็ถือว่าเป็นสีสันในครอบครัว โดยอาจมองว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่พี่น้องจะทะเลาะกันบ้าง แต่ก็ไม่เคยถึงกับลงมือแบบเอาถึงตาย
ไล่ลำดับรู้จักปม
ชวนให้พี่เลี้ยงปวดตับไปพร้อมกับการฉายชัดถึงความเจ็บปวดของเด็ก ๆ ทั้ง 7
ราวกับนักเขียนกำลังกู่ก้องร้องตะโกนว่า ‘เราจะไม่ยอมเจ็บปวดไปเพียงคนเดียว’ เพราะการกล่าวถึงปมในคราวนี้ไม่ได้ปล่อยเป็นของว่างทานเล่นแล้ว แต่กลับปล่อย ตูม ! มาครั้งเดียว เป็นอาหารมื้อใหญ่อิ่มจุก ๆ ท้องแตกไป ร้องไห้ไปได้เลยเพราะจุใจและเศร้ามาก 😢
ปมในเล่มนี้จะทำให้นักอ่านได้ทราบความเป็นมาและรับรู้ในเบื้องต้นว่าปมเหล่านั้นเกิดจากอะไร เหตุการณ์บางอย่างก็ส่งผลกระทบหนักมากเสียจนเปลี่ยนบุคลิกของเจ้าชายบางคนไปตลอดกาลเลยทีเดียว โดยสิ่งที่โฮปได้เห็นนั้นไล่เรียงไปตั้งแต่ปมของสเน็ค โรลเทีย นอคช์ มิคาน่า โรว่า โดโลเรส และปิดท้ายด้วยปมของวาเรน เป็นสิ่งที่เด็ก ๆ ทุกคนเผชิญก่อนจะได้เข้ามาเป็นสมาชิกในบ้านอสูรซึ่งวาร์โร (หมาป่าผู้ดูแล) เป็นผู้รวบรวมเด็ก ๆ มาอาศัยด้วยกัน
เมื่อย้อนให้พี่เลี้ยงเห็นเหตุการณ์สำคัญแล้ว สิ่งที่ตามมาก็คืออาการปวดหัวใจ เพราะโฮปเป็นคนที่เลี้ยงดูเด็ก ๆ มาอย่างดี ตอนได้เห็นว่าเด็ก ๆ เจอกับอะไรมาบ้างก่อนมาเจอตนเองจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่จะรู้สึกกระทบกระเทือนจิตใจ โฮปเลยตั้งมั่นกับตนเองไว้ว่าจะดูแลและปกป้องเด็ก ๆ เป็นอย่างดีต่อไป
ตัวร้าย
เรื่องราวของตัวร้ายก่อนกลายเป็นผู้ที่มีความคิดบิดเบี้ยวแบบเต็มตัว
ขุนนางเทลเวล โทริอัสที่เคยเล็ดลอดจากการคิดบัญชีก่อนหน้านี้ กลับมาสร้างปัญหาให้แก่พี่เลี้ยงและเด็ก ๆ อีกครั้ง โดยในครั้งนี้เล่นใหญ่กว่าเดิมแถมยังก่อเรื่องหนักกว่าเดิม ส่งผลถึงคนที่ต้องตามยังยั้งไม่ให้เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นอย่างโฮป
นอกจากการกล่าวถึงแผนการที่ทำให้ฝั่งของพี่เลี้ยงต้องลำบากแล้ว ในเรื่องก็ยังย้อนพูดถึงสาเหตุที่ขุนนางเทลเวลมักใหญ่และใฝ่หลงในอำนาจอย่างหนัก ทำให้เห็นถึงเบื้องลึกเบื้องหลังว่าสิ่งใดบ้างที่ประกอบร่างและหลอมรวมจนกลายเป็นขุนนางโลภผู้นี้ แล้วยังมีการเล่าถึงหนอนบ่อนไส้ที่เคยกล่าวไว้ในเล่ม 1 จนนักอ่านต้องตะลึงเพราะคาดไม่ถึงกันเลยทีเดียว
การดำเนินเรื่อง
เล่า Canon Event ของแต่ละคนได้อย่างกระชับและเห็นภาพจนรู้สึกเจ็บปวดร่วมไปกับเด็ก ๆ ทั้ง 7
เนื่องจากพี่เลี้ยงต้องออกตามหาเด็ก ๆ เนื้อเรื่องจึงดำเนินไปในแนวทางการสืบสวน แต่ไม่ถึงขั้นที่มองว่าเป็นเน้นหนักด้านนี้ ถึงอย่างนั้นเรื่องราวที่ค่อย ๆ สืบสาวไปเรื่อย ๆ ก็ชวนตื่นเต้นและลุ้นไปกับการค้นหาเหล่าเด็กอสูร
ในเรื่องยังกล่าวถึง Canon Event ของเด็กแต่ละคน ซึ่งถือว่าเล่าได้กระชับและเห็นภาพจนรู้สึกเจ็บปวดร่วมไปกับเด็ก ๆ ทั้ง 7 แต่ก็ยังไม่ทิ้งความเป็นนวนิยายผจญภัยที่มีฉากแอ็กชันสอดแทรกเอาไว้ รวมถึงการเสริมมุกตลกเข้าไปอย่างแนบเนียน ทั้งนี้ การลำดับการเล่าเรื่องของนักเขียนก็ยังน่าสนใจ ซึ่งใช้การตัดจบและเล่าต่อในแต่ละบทได้อย่างลื่นไหลและน่าติดตาม ชวนให้อ่านต่อแบบวางแทบไม่ลง
Mood & Tone
‘เมื่อไม่มีแสงอาทิตย์คอยนำทางให้ความสว่างในบ้าน ก็คงเหลือเพียงความมืดมิดอันหนาวเหน็บ’
ถ้าเปรียบเทียบกับฤดู SEVEN HOPE เล่มนี้คงอยู่ในช่วงฤดูหนาวที่กำลังย่างก้าวเข้าสู่ฤดูร้อน โดยไล่เรียงตั้งแต่อากาศที่เย็นแล้วค่อย ๆ อบอุ่นขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับถูกเด็กทั้ง 7 และพี่เลี้ยงโอบกอด ซึ่งความอบอุ่นที่ค่อย ๆ รู้สึกก็ผันแปรกับจำนวนเด็ก ๆ ที่กลับมาพร้อมหน้าพร้อมตากัน แม้จะมีช่วงจังหวะที่หม่นหมอง มืดมน และหดหู่บ้าง แต่ก็ถือว่าเป็นจังหวะที่พอดิบพอดี ไม่มากหรือน้อยจนเกินไป
อาจกล่าวได้ว่า SEVEN HOPE เล่ม 1 ลำดับเรื่องจากโทนอบอุ่นมาสู่ความเยือกเย็นด้วยความเศร้า เนื่องจากเด็ก ๆ หายตัวไป ส่วน SEVEN HOPE เล่ม 2 นี้ก็เป็นการเล่าด้วยความรู้สึกและอารมณ์หลากหลายสลับกันอย่างลงตัว เช่น อาการเฉา ซึม เสียใจ ตื่นเต้น ดีใจ แต่สุดท้ายก็ปิดจบด้วยความอบอุ่น
บางทีครอบครัวอาจหมายถึง… การได้อยู่เคียงข้าง
แม้โลกทั้งใบจะหันหลังให้หรือทอดทิ้งเหล่าเด็กอสูรไป แต่คนที่ยังยืนหยัดอยู่ โดยเป็นทั้งคนแรกและคนสุดท้ายก็คือความหวังของพวกเขา “โฮป”
นอกจากเนื้อหาอันเข้มข้นจาก SEVEN HOPE เล่ม 2 นี้แล้ว ยังมีภาคแยกใหม่ล่าสุดซึ่งเป็นเรื่องราวของ ‘วาเรน’ เจ้าชายแวมไพร์ และ ‘โดโลเรส’ เจ้าชายหมาป่า ท้ายที่สุดจะเป็นอย่างไร เมื่อคนที่ต้องแยกเขี้ยวใส่กันทุกครั้งที่เจอหน้า ต้องหันมาให้ความร่วมมือกัน ? ร่วมหาคำตอบได้ในนิยายแฟนตาซีเล่มใหม่จาก 1168 ‘BUDDY HOPE สองอสูรป่วนคู่กัดในตำนาน’ กำลังเปิดพรีในราคาพิเศษอยู่ โดยเล่มใหม่ล่าสุดนี้ #สามารถอ่านแยกได้นะ ✨
เมื่อความสงบสุขมาเยือนได้ไม่นาน พี่เลี้ยงคนสำคัญอย่าง โฮป ก็ถูกลักพาตัวไปอีกครั้ง โชคดี (?) หน่อยที่คราวนี้ไม่ได้ถูกจับตัวไปเพียงคนเดียว แต่ถูกจับไปพร้อมกับ วาเรน เจ้าชายแวมไพร์เลือดบริสุทธิ์และ โดโลเรส เจ้าชายหมาป่าเงิน ทว่าจะบอกว่าโชคดีก็คงจะพูดไม่ได้เต็มปากนัก เพราะทั้งสามดันมาโผล่ในดินแดนแวมไพร์ที่มีอาณาเขตเวทเป็นกำแพงที่ใหญ่ที่สุดกั้นระหว่างดินแดนมนุษย์กับดินแดนของเผ่าหมาป่าไว้ หากจะออกไปจากที่นี่จะต้องตอบรับคำสั่งล้างบางเผ่าพันธุ์ของแวมไพร์สาวตนนั้นจริง ๆ หรือ ?
“ดูเหมือนไม่มีอะไรสามารถสั่นคลอนสายสัมพันธ์แน่นแฟ้นของพวกเจ้าได้ ช่างน่าอิจฉานัก”