🐲 รีวิว BUDDY HOPE สองอสูรป่วนพี่เลี้ยงตัวแสบ (ที่หายไป) 👹
ร่วมเดินทางไปกับมังกรดำและยักษ์แดงทรงเสน่ห์ คู่หูพูดน้อยต่อยหนัก
⚠️ เนื้อหาอาจมีสปอยล์ ⚠️
มังกรดำ “นอคช์” และยักษ์แดง “โรลเทีย” คู่หูนิ่งเงียบที่สยบนักอ่านเรียบด้วย Popular Vote สองตนนี้จะเปิดหน้าการผจญภัยครั้งใหม่ รวมถึงความรู้สึกและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังพี่เลี้ยงหายไป 7 ปี เรื่องราวที่เกิดขึ้นในโลกแฟนตาซีของมังกรและยักษ์จะถูกนำมาตีแผ่ รีวิวกันอย่างจุใจนับบัดนี้ !
โฮป พี่เลี้ยงเหนือมาตรฐาน
เหล่าอสูรมักนำคนอื่นมาเปรียบเทียบกับโฮปเสมอ ราวกับโฮปเป็นมาตรฐานของทุกสิ่งสำหรับเด็ก ๆ
นับตั้งแต่พี่เลี้ยงคนเก่งเข้ามาอาศัยในบ้านอสูร การกระทำทุกอย่างก็อยู่ในสายตาของเด็ก ๆ และสิ่งเหล่านั้นก็กลายเป็นมาตรฐานที่เหล่าอสูรนำมาใช้เปรียบเทียบกับสิ่งที่ตนเองได้พบเจอเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการทำอาหาร ท่าทีการแสดงออกต่ออสูรเช่นตนเอง หรือคำพูดคำจาที่คาดคิดไว้ว่าโฮปจะกล่าว ถึงอย่างนั้นแล้ว ตั้งแต่อยู่ด้วยกันมาตลอดหลายปีก็ยังไม่มีผู้ใดสามารถแทนที่หรือแตะมาตรฐานที่โฮปทำเอาไว้ได้
“…นัยน์ตาสีม่วงที่เหมือนกับคนผู้นั้น เพียงแต่ให้อารมณ์ที่แตกต่างทำให้เขาหวนนึกถึงเรื่องเก่า ๆ”
นอคช์
มังกรดำผู้เงียบงัน ทว่าแสดงออกผ่านการกระทำ
แม้ปากของมังกรมังสวิรัติตนนี้จะหนักมากจนสมาชิกในบ้านไม่อาจทำความเข้าใจเขาได้ง่าย ๆ เพียงใด แต่ก็ยังมีคนผู้หนึ่งที่เข้าใจการกระทำของเด็กคนนี้เสมอ (ยกเว้นตอนที่เรื่องที่เกี่ยวกับตัวโฮปเองนะ เพราะถึงเด็ก ๆ จะแสดงออกว่าหวงและห่วงอย่างไรก็ไม่เคยเก็ตเลย)
นอคช์อาจไม่ใช่เจ้าชายเย็นชาของพี่เลี้ยง (เพราะมีคนอื่นครองตำแหน่งนี้อยู่) แต่ก็เป็นมังกรดำที่เงียบขรึมและรักความสงบ พูดน้อยคำแต่มักสื่อสารความรู้สึกผ่านการแสดงออกมากกว่าคำพูด เช่น ตอนโรลเทียบาดเจ็บ นอคช์คิดว่าหากอยากให้อีกฝ่ายหายเร็ว ๆ ต้องมีเนื้อสัตว์ เขาจึงลงมือฆ่าไก่ (หลังทำใจนานกว่าครึ่งชั่วโมง) แม้ตนเองจะกินเนื้อสัตว์น้อยครั้งก็ตามที เหตุการณ์นี้จึงแสดงให้เห็นว่านอคช์เองก็ใส่ใจคนอื่นมากกว่าที่เห็นจากภายนอก
หลายครั้ง นอคช์แทบจะเป็นลูกเป็ดที่คอยตามโฮปต้อย ๆ ไม่ว่าไปไหนก็แอบสะกดรอยตามไปเสมอ และอันที่จริงโฮปก็รู้ตัวอีกด้วย แต่พี่เลี้ยงก็ปล่อยให้มังกรตนนี้ทำตามใจตนเอง แล้วอย่างนี้เจ้าเด็กทั้งหลายจะไม่หลงได้ยังไงกัน นอกจากแอบตามแล้ว แม้มังกรตนนี้จะนิ่งเงียบ แต่ก็เรียกร้องความสนใจในแบบของตนเองเก่งมาก อย่างตอนที่เห็นได้ชัดเจนคือ นอคช์เปลี่ยนร่างตนเป็นเด็กเพื่อจะได้อยู่ใกล้ชิดและทำให้โฮปเอ็นดู
โรลเทีย
ยักษ์แดงจอมเย็นชา เด็ดขาด มีเหตุผล
ตำแหน่งเจ้าชายเย็นชาก็ตกเป็นของงงง… โรลเทียผู้ร้อนแรงของเรานั่นเอง นอกจากบุคลิก ‘พูดน้อยต่อยหนัก’ ที่ไปกันได้ดีกับคู่หูอย่างนอคช์แล้ว เรื่องความเข้าขากันก็ยังไม่เป็นสองรองใคร เพราะทั้งทรงพลังตั้งแต่เผ่าพันธุ์และน่าเกรงขามไปจนถึงพลังกายเชียวแหละ
เจ้าชายอัจฉริยะตนนี้เฉลียวฉลาดและช่างสังเกตตั้งแต่ถือกำเนิดขึ้นมา หนึ่งเดือนหัดเดิน สองเดือนเดินคล่อง หนึ่งปีหัดอ่านเขียนได้แล้ว สองขวบทั้งอ่านเขียนคล่อง ห้าปีเริ่มฝึกศาสตร์ด้านต่าง ๆ ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นเด็กที่มีพรสวรรค์เด่นชัด จึงอาจถือได้ว่าเป็นเด็กที่ฉลาดที่สุดท่ามกลางเหล่าอสูร
นอกจากบุคลิกข้างต้นที่ว่าไว้ ยักษ์ตนนี้ยัง ‘ลงมือทำมากกว่าพูด’ อีกด้วย แต่ก็มีหลายครั้งที่โรลเทียหลุดพูดออกมามากกว่าปกติ และตัวแปรที่ทำให้หลุดปากพูดเยอะก็เป็นใครไปไม่ได้ นอกจากพี่เลี้ยงคนดีคนเดิมนั่นเอง ไม่ว่าจะเพราะเป็นห่วง ออกอาการหวง หรือความรู้สึกอื่น ๆ ก็ตามแต่ แม้มีภาพลักษณ์เย็นชา ทว่าเมื่อยู่กับโฮปก็กลายเป็นว่าเขาลดกำแพงน้ำแข็งลงโดยไม่รู้ตัว
ความสัมพันธ์
คู่หูผู้น่าเกรงขาม บอดีการ์ดส่วนตัวของโฮป
ด้วยภารกิจที่ต้องนำเจ้าตัวน้อยอย่างลูกเจี๊ยบไปส่งคืนถิ่นที่อยู่ และเพราะเจ้าตัวเล็กติดโฮปมากกกก (ไม่ต่างจากเหล่าอสูรเลย) แม้จะเป็นห่วงสักเท่าไหร่แต่โฮปก็จำใจต้องติดสอยห้อยตามนอคช์และโรลเทียไปอย่างช่วยไม่ได้ การผจญภัยครั้งใหม่จึงเกิดขึ้นอีกครั้ง !
มังกรดำและยักษ์แดงได้ผันตัวเป็นบอดีการ์ดที่คอยปกป้องพี่เลี้ยงคนสำคัญของพวกเขา แบบยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม ถ้าบีบลูกเจี๊ยบออเซาะนั่นตายคามือได้ก็คงทำไปแล้ว
นอกจากนี้ ยังมีความสัมพันธ์ของตัวประกอบอย่างลูกเจี๊ยบที่กล่าวถึงตั้งแต่ต้น จริง ๆ แล้วก็ไม่ใช่ลูกเจี๊ยบธรรมดา แต่เป็นนกฟีนิกซ์ต่างหากล่ะ ! สำหรับเหล่าอสูร เจ้าเด็กนั่นอาจจะเป็นเจี๊ยบขวางคอ เพราะไม่ยอมห่างจากโฮปเลยสักนิด แถมยังไปซุกในเสื้อโฮปอีกต่างหาก ! อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ที่เห็นได้ชัดตอนนี้คือ ลูกศรจากเด็กอสูรทุกตนชี้ไปทางโฮป และโฮปก็ชี้กลับมาที่ทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน (แม้เด็ก ๆ จะออกแนวแข่งขันกันแย่งความสนใจจากโฮปก็เถอะ)
ครอบครัวที่แท้จริง
จาก House สู่ Home โดย Hope
House – Home – Hope เป็นคีย์เวิร์ด 3 คำที่อธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นในบ้านอสูรได้อย่างครอบคลุม ตั้งแต่เหตุการณ์เริ่มแรก ก่อนเด็ก ๆ จะได้พบเจอกับโฮป บ้านที่พวกเขาอาศัยอยู่ต่างก็เป็นเพียงแค่ที่ซุกหัวนอน แต่เมื่อโฮปก้าวเข้ามาในบ้านทรายทอง เอ๊ย ! บ้านอสูรหลังนี้ ก็กลับกลายเป็นว่าที่แห่งนี้มันมีชีวิตชีวาขึ้น เสียงฮึ่มแฮ่และการทะเลาะถูกแทนที่ด้วยเสียงหัวเราะและรอยยิ้ม ไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่เต็มใจ (เพราะไม่อยากให้พี่เลี้ยงเห็นว่าทะเลาะกัน) ก็ตาม
บ้านอสูรที่มีโฮปนั้นสอนให้เหล่าอสูรรู้จักกับคำว่าครอบครัวที่ไม่ใช่แค่การพักอาศัยอยู่ภายใต้ชายคาเดียวกัน แต่เป็นคนที่คอยเป็นห่วงเป็นใยและเอาใจใส่ต่อกันเสมอโดยไม่หวังผลตอบแทนต่างหาก
โฮปทำให้นอคช์และโรลเทียรู้ว่า ไม่จำเป็นต้องแบกรับอดีตเอาไว้ตลอด แต่เอาเข้าจริง ทั้งความเจ็บปวดจากการถูกปั่นหัวและถูกหลอกใช้ สิ่งเหล่านั้นค่อย ๆ บรรเทาลงหลังจากที่โฮปเข้ามาเป็นแสงสว่างในชีวิตของพวกเขา
ฉาก
เมื่อการอ่านสามารถนำทางเราสู่โลกแฟนตาซีได้อย่างลื่นไหล
ด้วยการบรรยายที่ทำให้นักอ่านเห็นภาพปรากฏขึ้นในหัวได้อย่างง่ายดาย ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นฉากในบ้านอสูร ฉากบุกน้ำ ลุยไฟ มุดถ้ำ ตะลุยไปถล่มเมืองจึงทำให้คนอ่านอินกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นราวกับสิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้นต่อหน้าของตนหรือเกิดขึ้นกับเราเองจริง ๆ
ตัวร้าย
รู้หน้า (มั้ง ?) ไม่รู้ใจ คนที่น่าไว้ใจอาจจะร้ายที่สุด
การวางตัวร้ายในเล่มนี้ทำให้ได้ข้อคิดหลาย ๆ อย่างที่สามารถนำไปใช้ได้จริง เช่น การไว้ใจคนผิด อาจนำปัญหามาสู่ตนเองได้ แม้ตนเองจะให้ใจไป 100% แต่สิ่งที่ได้กลับมาอาจจะตรงข้ามกันเลยก็เป็นได้ (แม้เราจะไม่ได้คาดหวังสิ่งตอบแทนก็เถอะ)
การเฉลยว่าผู้อยู่เบื้องหลังคือใครนั้นสลับซับซ้อนไปมา เรียกได้ว่า ‘พลิกล็อกกันน่าดู ถล่มทลาย พลิกล็อกกันมากมาย แบบเทกระเป๋า’ เดาไม่ถูกกันเลย
ถึงอย่างนั้น ในเรื่องก็ทำให้เห็นว่าคนที่ห่วงใยเราจากใจจริง ๆ ไม่ใช่ว่าไม่มี แต่เราชายตาหรือสนใจที่จะรับความใส่ใจนั้นหรือเปล่า อาจต้องหัดมองและสังเกตคนรอบกายและยินดีกับสิ่งที่ได้รับ ดีกว่าจมทุกข์กับสิ่งที่ผ่านไปแล้ว
ดำเนินเรื่อง
เมื่อความเศร้าสร้อยเปลี่ยนเป็นความสุขสันต์เพราะการปรากฏตัวของพี่เลี้ยงคนโปรดหลังผ่านไป 7 ปี
หากกล่าวกันตามตรง Mood & Tone ของช่วงแรก ๆ จะแตกต่างกับช่วงหลัง เนื้อเรื่องราว 30% แรกนั้นชวนหดหู่ หม่นหมอง และเศร้าสร้อย เนื่องจากเป็นพาร์ตที่กล่าวถึงช่วงเวลาที่โฮปหายตัวไป และเด็ก ๆ ต้องอยู่กับความรู้สึกและสถานการณ์นั้น แต่ละคนจะมีวิธีรับมือที่ต่างกัน บ้างรอคอยเหมือนนอคช์ บ้างออกไปสืบหาเหมือนโรลเทีย และสุดท้ายหลังโฮปกลับมา ทุกสิ่งก็ค่อย ๆ เปลี่ยนโทรมาสู่ความอบอุ่นเหมือนเช่นเคย สมกับฉายาพี่เลี้ยงดวงอาทิตย์จริง ๆ
อีกทั้ง การบรรยายช่วงแรกของเรื่องนั้นเน้นที่นอคช์และโรลเทียเป็นส่วนใหญ่ ภาษาที่ใช้ในการบรรยายจึงงดงามและสัมผัสได้ถึงความเยือกเย็นที่แผ่ซ่านออกมา แม้ตัวละครจะพูดน้อยแค่ไหนก็ยังประทับใจกับภาษาที่ใช้ได้อย่างง่ายดาย เช่น “คนที่จากไปแล้วไม่มีทางหวนกลับมา… บ้านอสูรก็ไม่ใช่บ้านอีกต่อไป มันเงียบเหงาและเหน็บหนาวเหมือนถ้ำมืดทึบในฤดูฝนไม่มีผิด เมื่อไม่มีคนทำอาหาร ก็ไร้กลิ่นที่คุ้นเคย เมื่อไร้คนทำความสะอาดที่เจ้าระเบียบก็ไม่มีเสียงบ่นดังเดิม ฝุ่นเริ่มลงจับตามสิ่งของในความทรงจำเหล่านั้น”
นอกจากเรื่องการดำเนินเรื่องด้วยความรู้สึกและอารมณ์ที่หลากหลาย ทั้งเศร้าหมอง สุขสันต์ และรสชาติของการผจญภัย แซมด้วยความตลกแล้ว เรื่องตัวละครก็ยังแสดงออกถึงความเป็นตัวของตัวเองได้อย่างดีเยี่ยมโดยไม่มีหลุดคาร์แรกเตอร์ มีเพียงมุมมองด้านอื่น ๆ ที่อาจไม่เคยเห็นจากตัวละครมาก่อนเท่านั้น เช่น การเรียกร้องความสนใจของนอคช์ หรืออาการหวงของโรลเทีย
“ข้าก็คิดถึงโฮปเหมือนกัน”
หลากห้วงอารมณ์ที่เกิดขึ้นและถูกนำมาถ่ายทอดผ่านความรู้สึกนึกคิดของเหล่าอสูรทั้งสอง เมื่ออ่านจบแล้ว เราอาจอยากอธิษฐานให้วันเวลาที่สงบสุขเช่นนี้คงอยู่กับพวกเขาตลอดไป
นอกจากภาคแยกของนอคช์และโรลเทีย ที่สามารถอ่านแยกเล่มได้แล้ว ยังมีภาคแยกใหม่ล่าสุดซึ่งเป็นเรื่องราวของ ‘วาเรน’ เจ้าชายแวมไพร์ และ ‘โดโลเรส’ เจ้าชายหมาป่า ท้ายที่สุดจะเป็นอย่างไร เมื่อคนที่ต้องแยกเขี้ยวใส่กันทุกครั้งที่เจอหน้า ต้องหันมาให้ความร่วมมือกัน ? ร่วมหาคำตอบได้ในนิยายแฟนตาซีเล่มใหม่จาก 1168 ‘BUDDY HOPE สองอสูรป่วนคู่กัดในตำนาน’ กำลังเปิดพรีในราคาพิเศษอยู่ โดยเล่มใหม่ล่าสุดนี้ #สามารถอ่านแยกกันได้นะ ✨
เมื่อความสงบสุขมาเยือนได้ไม่นาน พี่เลี้ยงคนสำคัญอย่าง โฮป ก็ถูกลักพาตัวไปอีกครั้ง โชคดี (?) หน่อยที่คราวนี้ไม่ได้ถูกจับตัวไปเพียงคนเดียว แต่ถูกจับไปพร้อมกับ วาเรน เจ้าชายแวมไพร์เลือดบริสุทธิ์และ โดโลเรส เจ้าชายหมาป่าเงิน ทว่าจะบอกว่าโชคดีก็คงจะพูดไม่ได้เต็มปากนัก เพราะทั้งสามดันมาโผล่ในดินแดนแวมไพร์ที่มีอาณาเขตเวทเป็นกำแพงที่ใหญ่ที่สุดกั้นระหว่างดินแดนมนุษย์กับดินแดนของเผ่าหมาป่าไว้ หากจะออกไปจากที่นี่จะต้องตอบรับคำสั่งล้างบางเผ่าพันธุ์ของแวมไพร์สาวตนนั้นจริง ๆ หรือ ?
“ดูเหมือนไม่มีอะไรสามารถสั่นคลอนสายสัมพันธ์แน่นแฟ้นของพวกเจ้าได้ ช่างน่าอิจฉานัก”