ปฐมบท : หายนะของเหล่าดาร์กเอลฟ์     

ปฐมบท
หายนะของเหล่าดาร์กเอลฟ์

 

    ณ ดินแดน อัล์ฟเฮม ผืนแผ่นดินของเหล่าเอลฟ์อันเงียบสงบและซ่อนเร้นจากสายตามนุษย์…

    เนิ่นนานมาแล้ว… มีตำนานเล่าขานสืบต่อกันมาว่าดินแดนอัล์ฟเฮม เป็นที่สถิตของเหล่าเอลฟ์ผู้สง่างาม ตำนานนั้นได้พรรณนาถึงรูปร่างหน้าตาของ ‘เอลฟ์’ ว่าเป็นสิ่งมีชีวิตผู้มีผิวขาวเจิดจรัสราวแสงของอาทิตย์อุทัย มนุษย์ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

    ผิวพรรณขาวผ่องสว่างจนบาดตาเช่นนี้เป็นเอกลักษณ์พิเศษของพวกเอลฟ์ รวมทั้งปลายหูที่แหลมขึ้น ใบหน้างดงาม และความสามารถด้านเวทมนตร์ พวกมนุษย์ต่างเชื่อว่าดินแดนอัล์ฟเฮมไม่เคยมีอยู่จริง เป็นเพียงจินตนาการเพ้อฝันที่เล่าขานกันต่อมา

    ทว่าใครจะล่วงรู้ว่า ณ มุมหนึ่งของโลก ยุคสมัยที่พวกเอลฟ์ปกครองผืนป่าและผืนพิภพ ดินแดนอัล์ฟเฮมบังเกิดขึ้น ดำรงอยู่ และยังไม่มลายหายไป ดินแดนอันเป็นที่อยู่อาศัยของเหล่าเอลฟ์เคยปรากฏอยู่ในแผนที่เก่า ๆ ของบรรพบุรุษชาวเอลฟ์ แต่แตกต่างจากภาพลักษณ์ตามที่มนุษย์บางคนจินตนาการไว้

    ที่แห่งนี้คือดินแดนอัล์ฟเฮม ผืนป่าทึบปูทับเทือกเขาราวกับพรมเขียวขจี ในยุคสมัยที่ธรรมชาติเจริญรุดหน้าถึงขีดสุด ใครจะคิดว่าธรรมชาติทั้งประทานพรและลงทัณฑ์อัล์ฟเฮม

    หากธรรมชาติสร้างพวกเอลฟ์ให้ยิ่งใหญ่ได้ก็ทำลายเอลฟ์ได้เช่นกัน ธรรมชาติจึงไม่ได้สรรสร้างสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า ‘เอลฟ์’ ให้มีแต่เอลฟ์สว่างไสวดั่งเปลวไฟโชติช่วง แต่กลับให้กำเนิดเอลฟ์ที่มืดมิดดั่งขี้เถ้าในเตาถ่านขึ้นมาด้วย เผ่าพันธุ์เอลฟ์ทั้งสองจึงเป็นเสมือนด้านสว่างและด้านมืดของโลกในยุคนั้น

    เหตุนี้เอง อัล์ฟเฮม จึงถูกแบ่งแยกถิ่นฐานออกเป็นสองส่วนตามสายพันธุ์ของเหล่าเอลฟ์ ทว่าเอลฟ์แห่งแสงสว่างหรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า ‘ไลต์เอลฟ์’ กลับครอบครองดินแดนสามในสี่ส่วนของอัล์ฟเฮม ทอดทิ้งดินแดนเพียงหนึ่งส่วนให้กับพวกเอลฟ์แห่งความมืดหรือ ‘ดาร์กเอลฟ์’ แถมเป็นดินแดนซึ่งหลงเหลือแค่ผืนดินลึกลงไปใต้พื้นโลก

    ขณะที่ไลต์เอลฟ์สูดอากาศบริสุทธิ์จนชุ่มปอดบนผืนป่า ดาร์กเอลฟ์จำนวนไม่น้อยกลับทนหายใจรดเศษดิน และไม่อาจปฏิเสธความจริงได้ว่าชาวไลต์เอลฟ์ไม่ได้มีจิตใจสว่างไสวเหมือนผิวกายเสียทุกตน หลายตนซ่อนความโหดอำมหิตเอาไว้ในสายเลือดเจิดจ้า

    ไลต์เอลฟ์ยุคแรก ๆ เข่นฆ่าลูกที่กำเนิดออกมาเป็นดาร์กเอลฟ์อย่างไร้ความปรานี ไม่ยอมรับว่าลูกของตนมีผิวหมองหม่นไม่สมกับเป็นชาวเอลฟ์ พวกเขาต่างก็เชื่อกันนมนานว่าเผ่าพันธุ์เอลฟ์สายเลือดบริสุทธิ์อันศักดิ์สิทธิ์จะต้องมีผิวกายเรืองรองดุจแสงจ้าเท่านั้น ส่วนเอลฟ์ตนใดอับแสงราวดาวเคราะห์ไร้ความสว่างในตัวเองก็ไม่สมควรเรียกตัวเองว่า… ‘เอลฟ์’

    ทั้งที่ความจริงดาร์กเอลฟ์จำนวนไม่น้อยถือกำเนิดมาจากสายเลือดของนางเอลฟ์ผู้มีแสงสว่าง แต่กลับไม่มีแสงในตัวเองเลย ยิ่งดาร์กเอลฟ์ตนใดมืดหม่นจนดับไฟแล้วยังมองหาไม่เจอความมืด พวกไลต์เอลฟ์ยิ่งรังเกียจและไม่อยากเข้าใกล้ กลัวว่าแสงจากกายของตนจะถูกพวกดาร์กเอลฟ์ดูดกลืนหายหมดสิ้น

    เล่ากันว่าพวกดาร์กเอลฟ์โดยมากรักสงบและมีจิตใจดีงามผิดกับไลต์เอลฟ์ส่วนใหญ่ซึ่งมีจิตใจโหดร้าย ดาร์กเอลฟ์จึงไม่เคยทำร้ายไลต์เอลฟ์แม้สักตนเดียว ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาจึงไม่ปรากฏว่าดาร์กเอลฟ์ตนใดฆ่าแกงไลต์เอลฟ์หรือทำให้บาดเจ็บแม้สักปลายก้อย ขณะที่ดาร์กเอลฟ์ส่วนมากล้วนเคยถูกไลต์เอลฟ์สังหารอย่างเลือดเย็น

    ความยุติธรรมในหมู่เอลฟ์อาจไม่มีจริง…

    เหล่าดาร์กเอลฟ์ที่เหลือรอดน้อยนิดต่างพากันดั้นด้นอพยพย้ายถิ่นฐาน บ้านช่องห้องหับของพวกดาร์กเอลฟ์จึงอยู่ลึกลงไปใต้ผิวดิน ท่ามกลางอุโมงค์โพรงดินอันเหม็นอับ หนาวเย็นยะเยือกด้วยโคลนตม ในขณะที่บรรดาไลต์เอลฟ์ใช้ชีวิตอยู่กับไอแดดอบอุ่นและกลิ่นต้นไม้ใบหญ้า มองดูยอดไม้เขียวพลิ้วไหว

    กระทั่งยุคหนึ่งของอัล์ฟเฮมมาถึง ธรรมชาติคงสงสารถึงอุบัติราชาของไลต์เอลฟ์ผู้เกรียงไกรตนหนึ่งนามว่า ‘เทพเฟรย์’ เขาเป็นเสมือนเทพเจ้าผู้นำของเหล่าเอลฟ์แห่งแสงสว่าง เขาคือเอลฟ์แห่งราชวงศ์ไวต์ดรากอนที่มีความสว่างมากที่สุดในประวัติศาสตร์ สว่างจนถึงขั้นเล่าขานต่อกันว่า ขนาดพวกไลต์เอลฟ์ด้วยกันยังไม่อาจลืมตามองเขาตรง ๆ ได้ ต่างก็ต้องเอามือบังแสงไว้เวลามองเทพเฟรย์เพื่อไม่ให้แสบตา

    ความยุติธรรมเริ่มต้นเมื่อ เทพเฟรย์ผู้จิตใจสูงส่งขึ้นเป็นราชาแห่งไลต์เอลฟ์ ปกครองชาวไลต์เอลฟ์อย่างสงบสุข และสั่งห้ามไม่ให้ผู้ใดก่อสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์พวกดาร์กเอลฟ์อีก

    นับจากนั้นประวัติศาสตร์ไลต์เอลฟ์ก็ไม่ปรากฏการฆ่าพวกดาร์กเอลฟ์แม้แต่ตนเดียว นับเป็นโชคดีของพวกดาร์กเอลฟ์รักสงบยิ่งนัก ถึงแม้ไลต์เอลฟ์บางตนยังแอบจับดาร์กเอลฟ์มาเป็นทาสรับใช้บ้างก็ยังดีกว่าฆ่าแกงกันเป็นผักปลา ทว่ายุคแห่งความสุขไม่ยืนนานนัก ช่วงรัชสมัยของราชาเทพเฟรย์ใกล้จะหมดลง ก่อนพระองค์จะสิ้นพระชนม์ เทพเฟรย์ผู้ยิ่งใหญ่ได้มองเห็นนิมิตอัศจรรย์ และเอ่ยปากทำนายออกมาว่า

    ‘ต่อจากนี้ราชาของเหล่าเอลฟ์จะประสบกับหายนะใหญ่หลวง’

    จริงดังพระองค์ว่า เพราะนับจากราชาเทพเฟรย์สิ้นใจ ราชาของไลต์เอลฟ์รุ่นต่อมาก็หาได้อยู่สงบไม่ พวกเขาต่างถูกรุกรานโดย ชนเผ่าจันทรา สิ่งมีชีวิตบ้าเลือดจากดวงจันทร์ หลังจากนั้นเรื่อยมา ผู้ดำรงตำแหน่งราชาไลต์เอลฟ์รุ่นแล้วรุ่นเล่าต่างถูกชนเผ่าจันทราฆ่าตาย ราวกับต้องคำสาปร้าย กระทั่งไม่มีไลต์เอลฟ์ตนใดกล้าขึ้นครองราชย์เป็นเวลายาวนานถึงสามร้อยปี บัลลังก์ราชาเอลฟ์ผู้สว่างเจิดจ้ากลับถูกปล่อยทิ้งให้รกร้างว่างเปล่ามาปีแล้วปีเล่าอย่างน่าเวทนา ตำแหน่งราชาไลต์เอลฟ์กลายเป็นบัลลังก์สยองขวัญของพวกเอลฟ์ทั้งหลาย กระนั้นชาวเอลฟ์ก็ยังไม่สิ้นหวัง เฝ้าเสาะแสวงหาผู้นำที่แข็งแกร่งมาปกครองดินแดนอัล์ฟเฮม

    ทว่าคำทำนายอีกประการก่อนราชาเทพเฟรย์สิ้นลมหายใจ พระองค์ยังตรัสต่ออีกว่า…

    ‘ราชารุ่นสุดท้ายผู้จะปกครองอัล์ฟเฮมไปตลอดกาล เป็นผู้มีแสงสว่างเรืองรองยิ่งกว่ากายข้า’

    จากนั้นร่างของเทพเฟรย์ก็แห้งตาย ดับแสงของตนจนสูญสิ้น แม้คำพยากรณ์สุดท้ายฟังดูให้ความหวังเสียเหลือล้น แต่กลับน่าสิ้นหวังมากกว่า เพราะแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีไลต์เอลฟ์ตนใดส่องแสงสว่างมากกว่าเทพเฟรย์ผู้เจิดจรัสมากำเนิดในครรภ์ของ ‘นางเอเวน’ หรือเอลฟ์เพศหญิงสักตน

    ผ่านมาสามร้อยปีแล้ว พวกเอลฟ์ทำสงครามกับชนเผ่าจันทราจากดวงจันทร์โดยไร้ซึ่งราชาแห่งแสงสว่าง แน่นอนว่าพวกดาร์กเอลฟ์ไม่ได้ยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยว เพราะดาร์กเอลฟ์ไม่มีผู้นำเช่นราชา ไม่มีแม้กระทั่งหัวหน้ากลุ่มชนด้วยซ้ำ พวกเขาอาศัยอยู่ใต้ดินจึงไม่จำเป็นต้องต่อกรกับพวกชนเผ่าแห่งจันทราซึ่งหมายปองพืชผลไร่นาของพวกไลต์เอลฟ์เป็นหลักแต่อย่างใด เพราะดาร์กเอลฟ์ไม่อาจปลูกพืชใต้ดิน พวกเขาเฝ้าหลบหลีกภัยสงครามอย่างเงียบสงบ

    คราหนึ่งธรรมชาติคงสงสารปนสมเพช จึงให้กำเนิดราชาเอลฟ์แห่งแสงสว่างขึ้นมาอีกสักตน…

    นั่นน่าจะเป็นเรื่องวิเศษสุดของพวกไลต์เอลฟ์ จะได้มีราชาชั่วนิรันดร์ของพวกเขาเสียที ต่อจากนี้ไม่ต้องกลัวพวกชนเผ่าจันทราอีกต่อไปแล้ว ราชาตลอดกาลผู้นี้จะปกครองอัล์ฟเฮมตามคำทำนายของเทพเฟรย์ กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ !

    แต่เรื่องกลับไม่ง่ายอย่างนั้น เพราะธรรมชาติเจ้ากรรมแทนที่จะส่งเอลฟ์น้อย ๆ ให้คลอดออกมาจากครรภ์นางเอเวนผู้สว่างไสวหรือชาติตระกูลดีสักตน กลับส่งเอลฟ์ตัวจ้อยผู้มีแสงสว่างกระจ่างฟ้ากระจ่างสวรรค์ให้คลานออกมาจากท้องของนางเอเวนดาร์กเอลฟ์ผู้มืดมิดตนหนึ่ง

    แน่นอนว่าเจ้าเอลฟ์น้อยตนนี้คลอดออกมาพร้อมกับเปล่งแสงสุดยอดสว่างจ้าถึงขนาดทำดวงตาแม่ของตนและหมอทำคลอดบอดสนิท ซ้ำร้ายสถานที่ทำคลอดยังเป็นอุโมงค์ใต้ดินที่แสงส่องแทบไม่ถึงจนคลำหาทางออกไม่ถูกอีกต่างหาก ฉะนั้นจึงไม่มีไลต์เอลฟ์หรือดาร์กเอลฟ์ตนใดรู้ว่าราชาชั่วนิรันดร์ของอัล์ฟเฮมถือกำเนิดแล้วจริงหรือไม่…

    โชคร้ายหนักเข้าไปอีก เพราะแทนที่ทารกเอลฟ์ผู้นั้นจะเปล่งแสงออกจากตัวได้ตลอดและสว่างเจิดจ้าที่สุดในประวัติศาสตร์ของบรรดาเอลฟ์ทั่วโลก แสงของเจ้าตัวกลับดับมอดลงเมื่อลืมตาดูโลกเพียงสองชั่วยาม

    เขาได้กลายเป็นเอลฟ์ผู้มีผิวกายซีดไร้แสงมากที่สุดตั้งแต่เคยมีมา !

    ธรรมชาติหนอธรรมชาติ… ช่างกลั่นแกล้งลงโทษพวกไลต์เอลฟ์ให้ไร้ผู้นำต่อไป หรือแท้จริงแล้วเอลฟ์ตัวน้อยผู้เคยส่องแสงจ้าตนนี้ เมื่อเติบใหญ่จะกลายเป็นราชาของเหล่าเอลฟ์แห่งแสงสว่าง จัดการปราบพวกชนเผ่าจันทราให้สิ้นซากอย่างวีรบุรุษ และปกครองดินแดนอัล์ฟเฮมชั่วกาลปวสาน ความหวังและความฝันช่างสวยหรูขัดกับความเป็นจริงเสียเหลือเกิน เห็นทีคำศักดิ์สิทธิ์ของกษัตริย์ผู้วายชนม์จะไร้ค่าเสียแล้วกระมัง ใครเล่าจะยอมให้เอลฟ์หม่น ๆ ตนนี้ขึ้นนั่งแท่นบัลลังก์อาถรรพ์ไปตายเปล่า…

    เรื่องราวอันพิลึกพิลั่นของเอลฟ์ตนหนึ่งซึ่งมีแม่ตาบอดได้เริ่มต้นขึ้น… เจ้าดาร์กเอลฟ์อกตัญญู (โดยไม่ตั้งใจ) แต่กำเนิดตนนี้จะสร้างเรื่องผิดแผกแหวกแนวไปจากวงการดาร์กเอลฟ์ขนาดไหน ทุกอย่างเริ่มด้วยคำด่าทอของนางเอเวนตาบอดผู้เป็นแม่

    “แกมันลูกไม่รักดี ! แกจะเป็นดาร์กเอลฟ์โง่ ๆ ตลอดชีวิตหรืออย่างไร ชีวิตดาร์กเอลฟ์อย่างเราน่ะลำบากจะตายชัก แกควรกลายเป็นไลต์เอลฟ์ที่มีแสงสว่างเหมือนอย่างแสงแรกตอนที่แม่คลอดแกออกมาสิ แม่อุตส่าห์ตาบอดเพื่อแกแล้ว แกยังมัวดับแสงอยู่ได้… เวรกรรมจริงจริ๊ง“

    “ทำไมข้าจะต้องพยายามเปล่งแสงตามที่แม่ว่าด้วย ข้าเป็นดาร์กเอลฟ์ไม่ใช่ไลต์เอลฟ์ จะให้ร่างกายเปล่งแสงออกมาได้ยังไง ! แล้วแม่รู้ได้ไงว่าข้าอับแสง ตาแม่บอดอยู่ไม่ใช่หรือ”

    “ก็เพราะชาวบ้านต่างนินทากรอกหูแม่ทุกวี่ทุกวันน่ะสิ”

    “เอาอีกแล้ว ไปฟังชาวบ้านเขาโม้กันอีกแล้ว”

    “แล้วมันจริงไหมล่ะ หึ ! ใคร ๆ ก็พูดว่าตัวเจ้าอับแสงที่สุดในบรรดาดาร์กเอลฟ์ที่กำเนิดขึ้นในรอบพันปีที่ผ่านมา ขนาดยืนอยู่ใกล้เจ้า ดาร์กเอลฟ์ด้วยกันยังต้องเพ่งมองเจ้าจนปวดตาเลย แบบนี้จะไม่ให้แม่ทุกข์ใจได้อย่างไร !”

    “…”

    ช่างน่าเวทนาเอลฟ์ผู้โชคร้ายตนนี้จริง ๆ

 

บทที่ 1 ==>
กลับหน้าหลัก

Facebook Comments