1168 PUBLISHING
Cupid’s Scythe วิกฤตการณ์ป่วนฟ้า เคียวกามเทพอ่านนิยาย

Cupid’s Scythe | ศรที่ 1 : กามเทพ 

ศรที่ 1
กามเทพ

[บันทึกของคีย์]
   ทุกคนเคยได้ยินวงดนตรีชื่อ ‘Wings’ ไหมครับ

   อันที่จริงยุคนี้ไม่น่าจะมีใครไม่เคยได้ยินชื่อวงของพวกเราหรอกต่อให้เป็นคนที่ไม่ได้ สนใจวงการเพลงก็ตามที เพราะพวกเราคือวงดนตรีที่โด่งดังมาก เนื่องจากทําเพลงแนว Acoustic–Rock ซึ่งนอกจากจะไพเราะแล้วยังเรียบง่าย อีกทั้งเนื้อเพลงยังสื่อถึงความรักในหลากหลายมิติ จําง่ายร้องง่ายติดหูคนฟัง เพลงของเราจงฮิตติดตลาดอย่างรวดเร็ว

    พวกเราเริ่มต้นตั้งวงได้ไม่นานหลังจากพบปะกันในชมรมดนตรีสากลของมหาวิทยาลัย ก่อนจะเริ่มเผยแพร่ผลงานลงในอินเทอร์เน็ตแต่งเพลงประกอบละครเวทีของมหาวิทยาลัยหลายต่อหลายเรื่องจนค่ายเพลงสนใจมาทาบทามให้ออกซิงเกิล และได้เคยจับพลัดจับผลูไปทำเพลงประกอบละคร ล่าสุดพวกเราทําเพลงประกอบให้กับภาพยนตร์แนวรักชื่อดังซึ่งทําเงินถล่มทลายเป็นผลพลอยให้พวกเราโด่งดังตามไปด้วย

    วงของเรามีแฟนคลับจำนวนมาก ทุกคนจิตนาการกันว่าพวกเราเป็นคนที่ละเอียดอ่อนบ้างล่ะ เท่บ้างล่ะ เป็นคนที่อบอุ่นและมองโลกในแง่ดีบ้างล่ะ ทั้งหมดก็เป็นอิทธิพลขากเพลงที่พวกเราทำและภาพที่สื่อโปรโมตออกไปทั้งนั้น

    แต่ความจริงแล้วพวกเราเป็นคนแบบไหนน่ะเหรอ…

    “พวกเรามาทำอะไรกันที่สวนสาธารณะนี่วะ” ริตพูดขึ้นขณะเอามือปาดเหงื่อที่หน้าผากและเสยผมที่ชักจะเริ่มยาวรุงรัง เขาคือนักร้องนำระจำวงดนตรีของผมซึ่งมีร่างกายบึกบึนกำลังดี ใบหน้าคมเข้มหล่อเหลา เขาเป็นเพื่อนสนิทกับผมมาตั้งแต่ชั้นมัธยม

    “มาหาแรงบันดาลใจแต่งเพลงไงคะพี่” ซอลตอบ เธอเป็นหญิงสาวอายุยี่สิบสามเด็กกว่าผมราวสองปีได้ เป็นมือกลองประจำวง เธอผิวขาวจนเกือบซีด หน้าเรียว ดวงตาไม่กลมโตมากแต่ก็ไม่ถึงกับรีเล็ก ไว้ผมยาวตรงประบ่า หน้าตาโดยรวมถือว่าสวย แต่ก็ดูเป็นคนที่เข้าถึงยากแม้ในยามที่เจ้าตัวทำตัวคุยเล่นเฮฮาก็ตาม

    โน้ต มือคีย์บอร์ดหนุ่มร่างผอมไว้เคราแพะพูดต่อ “แต่เพราะพวกเรายังไม่แก่ คงยังไม่เข้าใจความรู้สึกของคนอายุมากที่ยังรักกันจริง ๆ ก็เลยมาที่นี่ เพราะได้ข่าวว่ามีลุงป้าปู่ย่าตายายหลายคนชอบพากันมาเดินเล่น”

    “อ่อ เผื่อจะได้เห็นภาพประทับใจ ?” เบสถาม เขาคือมือเบสประจำวงเป็นหนุ่มหน้าตาน่ารักขี้เล่นที่อายุน้อยกว่าผมปีเดียว ปากของเขาเหมือนยิ้มตลอดเวลา และเขาก็ชอบเล่นมุกแปลก ๆ กับคนรอบข้างอยู่เสมอ

    โน้ตตอบ “ใช่เลย ภาพน่ารัก ๆ โรแมนติก เช่น ตายายเดินไปด้วยกันช้า ๆ จูงมือกันแน่น”

    เบสเสริม “นอนหนุนตักกัน”

   “ป้อนข้าว เอาน้ำให้ดื่ม”

   “หรือนั่งกินลมชมวิวพิงไหล่กัน อะไรทำนองนั้น”

   พวกเราพร้อมใจกันหยุดพูดชั่วขณะหนึ่งโดยมิได้นัดหมาย แล้วก็พากันทอดสายตามองไปเบื้องหน้าพร้อมกัน มีผู้สูงอายุจำนวนมากอยู่ที่สวนสาธารณะแห่งนี้ พวกเขาไม่ได้กกำลังเดินจูงมือหรือนอนหนุนตักกัน หากแต่กำลังเต้นแอโรบิกอย่างมุงมั่นแข็งขัน แต่ละคนเหวี่ยงแขนขากันไปคนละทิศคนละทางเพราะเต้นตามครูฝึกไม่ทัน อีกทั้งยังทำตัวเก้ ๆ กัง ๆ ราวกับกลัวว่าถ้าขยับร่างกายรุนแรงอาจทำให้ข้อเข่าเคลื่อนหรือไม่ก็โรคเกาต์กำเริบ อะไรทำนองนั้น

   ริตพึมพำ “โอ้โห จังหวะเพลงแอโรบิกสมัยนี้มันติ๊ด ๆ ได้ใจเหลือเกิน”

   “จริง อย่างกับเพลงแนว EDM” ซอลเริ่มขยับเท้าตามจังหวะเพลง

  “ถ้าโยกกว่านี้นี่จะไปเต้นแทนลุง ๆ ป้า ๆ แล้วนะ” โน้ตพูดพลางเริ่มโยกหัว

  “คนจริงอย่าดีแต่พูด ดูโน่น คนจริงจ้องไปเต้นแบบนั้น” ริตพูดพลางชี้ไปที่เบสซึ่งกำลังต่อท้ายแถวลุงป้าเต้นแอโรบิกด้วยเอวที่พลิ้วไหวจนแม้แต่ซอลยังอิจฉา

  “โอ้โห เอวบางกว่าหนูอีกมั้งคะนั่น”

  “มันไปเต้นตั้งแต่ตอนไหนฟะ” โน้ตเกาหัวก่อนจะหันมามองผม “ว่าไง ไอ้คีย์ คนโรแมนติกอย่างนายคิดอะไรออกจากการดูพวกลุงป้าเต้นแอโรบิกไหม”

  “ได้สิ ภาพนั้นโรแมนติกออกนะ” ผมชี้ไปยังข้างหน้า

  “นายหมายถึงอากงคนนั้นเหรอ” ริตถามขณะชี้ไปอากงอายุราวเจ็ดสิบที่ผมบนศีรษะของเขาได้จากไปจนเกือบหมด ชายแก่กำลังมองครูสาวในชุดกีฬาเต้นแอโรบิกด้วยสีหน้าเคลิบเคลิ้มราวกับดวงวิญญาณกำลังพบทางไปถึงสรวงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

  “ไม่ใช่สักหน่อย หมายถึงนี่ต่างหาก” ผมรีบชี้ให้ริตเห็นภาพอาม่าคนหนึ่งที่เต้นแรงเกินไปจนรู้สึกวิงเวียน อากงจึงต้องพาอาม่าไปนั่งพักใต้ต้นไม้ข้างทาง แล้วเอากระดาษหนังสือพิมพ์พัดพร้อมเอายาดมให้อาม่าดม

  ซอลพยักหน้า “ใช้ได้เลย ให้อารมณ์ประมาณว่าดูแลกันจนแก่เฒ่าสินะคะ”

  ผมยิ้มอย่างตื่นเต้นขณะพยักหน้าให้ซอล “ใช่ซอลเข้าใจพี่ใช่ไหม”

  “มันก็เกือบจะโรแมนติกอยู่หรอก ถ้าอากงไม่เอายาดมไปยัดรูจมูกอาม่าแบบนั้น” เบสพูดขัดทั้งที่ยังเต้นแอโรบิกไปพลางมองคนชราคู่นั้นไปพลาง “โห ยัดซะลึกเชียว อาม่าไม่แสบจมูกแย่เหรอครับนั่น”

  “แกอย่าพูดไปเต้นไปต่อหน้าฉันแบบนี้ได้ไหม รำคาญลูกตาเฟ้ย”  ริตโบกมือไล่ “นี่ ตรงนี้คงไม่มีอะไรเป็นแรงบันดาลใจให้เราได้หรอก เราลองไปดูสวนอีกฝั่งไหม”

  เบสรีบตอบทันที “ไปดูมาแล้ว ที่นั่นมีพวกลุงป้าเยอะเลย แล้วก็ไม่ได้เต้นแอโรบิกด้วย…”

  โน้ตลุกขึ้น “โอเค ได้เวลามูฟ”

  “…แต่มีรำไทเก๊กแทน” เบสพูดต่อ

  “รีบ ๆ พูดให้จบสิฟะ” มือคีย์บอร์ดเคราแพะทิ้งตัวนั้งลงอย่างเซ็งจัด

  ริตหาวหวอดใหญ่ก่อนเอนหลังพิงต้นไม้และเอานิ้วเขี่ยพื้นหญ้าเล่น “สงสันวันนี้จะไม่ได้แรงบันดาลใจอะไรกันละมั้ง”

  “นั่นสิ ในที่สุดก็มาถึงจุดนี้ได้จุดที่พวกเราตันจนไม่รู้จะทําเพลงอะไร” โน้ตบ่น “ตอนแรกนึกว่าเพลงเกี่ยวกับคนแก่รักกันจะเวิร์กซะอีกสุดท้ายก็ไม่น่ารอดแฮะ”

  “ถ้าไม่เอาเรื่องความรักจรแก่เฒ่า แล้วจะเอาอะไรมาเล่นในเพลงใหม่เราแทนล่ะคะ” ซอลถาม

  พวกเราหลับตากอดอกครุ่นคิดกันครู่ใหญ่ ก่อนที่ทุกคนจะมองมาที่ผม ริตชี้หน้าผมทันที “เฮ้ย คีย์ คิดสิ”

  “อ้าว แล้วทำไมต้องเป็นเราล่ะ” ผมติดนิสัยพูดจาสุภาพมาแต่ไหนแต่ไร

  “ก็นายเป็นนักแต่งเพลงมือหนึ่งของวง”

  “แต่จริง ๆ ตำแหน่งของเราคือมือกีตาร์…”

  “แต่ดันแต่งเพลงรักเก่งซธขนาดนี้ ทุกเพลงของวงเราที่ดัง ๆ ก็ เพราะนายแต่งทั้งนั้น พวกเพลงประกอบละครกับหนังก็ด้วย นายพาวงเรามาถึงขนาดนี้ ดังนั้นครั้งนี้พวกเราก็ต้องขอพึ่งนายอีก” โน้ตเสริม

  “พวกเราต้องพึ่งที่คีย์กันแล้วสินะ เอ้า กราบ” เบสทำท่าไหว้ครูและถวายยังคมด้วยความคึก

  “เพลงใหม่ของวงงั้นเหรอ อยู่ดี ๆ จะให้เปลี่ยนแนวคิดเพลงใหม่แล้วจะเอาคำตอบทันที มันก็…” ผมกุมขมับก่อนจะเหลือบไปเห็นเด็กชายคนหนึ่งกำลังวิ่งเล่นไล่จับนกพิราบ กางเกงของเด็กคนนั้นหลวมจนวิ่งไปสักพักก็หลุดโชว์ท่อนล่างล่อนจ้อน อาม่าคนหนึ่งรีบวิ่งมาอุ้มหลานกลับไป ผมเห็นภาพเด็กล่อนจ้อนกับนกพิราบที่เพิ่งบินหนีไปก็พลันเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา

  “งั้น… กามเทพล่ะ?”

  โน้ตทำหน้าเหวอ “แต่งเพลงรักจากมุมมองของกามเทพเหรอ”

  “พี่นี่เจ๋งออะ คิดได้ไงเนี่ย” ซอลยิ้มแล้วปรบมือให้

  “แหะ ๆ ก็นิดหน่อยนะ” ผมเขินเมื่อถูกซอลชมตรงๆ

  “ว่าแต่ทำไมกามเทพถึงต้องเป็นเด็กด้วยนะ” ริตตั้งข้อสังเกต

  “ไม่รู้แฮะ แต่ถ้าจะให้ขายได้ในยุคนี้ก็ต้องเปลี่ยนจากามเทพเด็กน้อยเป็นกามเทพหนุ่มรูปงามละมั้ง” เบสเสนอ

  “ก็ได้นะ เป็นหนุ่มรูปงามท่าทางสง่าก็ให้ภาพที่น่าสนใจดี” ผมไม่ติดปัญหาอะไร

  “นั่นสินะ ไว้ทำเป็นมิวสิกวิดีโอได้ด้วย จ้างดาราหล่อ ๆ มาแต่งเป็นามเทพดีไหม” เบสหันมาถาม

  “หรือไม่งั้นก็ไม่ต้องไปจ้างคนอื่นหรอก ริตมันก็หล่ออยู่แล้ว พวกเราก็แต่งตัวเป็นกามเทพไปเล่นดนตรี” โน้ตเสนอ

  พวกเราพูดคุยกันอย่างออกรสอยู่ครู่หนึ่งแล้วลงคะแนนเสียงว่าทุกคนซื้อไอเดียการแต่งเพลงรักในมุมมองของกามเทพที่ผมคิดขึ้นหนั้งที่การแต่งเพลงจึงตกเป็นของผมอีกครั้งโดยปริยาย ก่อนที่ทุกคนจะพากันแยกย้ายไปทำธุระส่วนตัวของแต่ละคนต่อ

  “แล้วเจอกันที่ห้องซ้อมพรุ่งนี้ บายเว้ยทุกคน” ริตโบกมือลา

  “เออ บาย” ผมโบกมือลาเพื่อนร่วมวงก่อนจะเดินแยกไป ท้องฟ้ายามเช้าเริ่มมีแดดจ้ามากขึ้นเล็กน้อย ผมเหม่อมองฟ้าสีสดและปุยเมฆสวยงามขณะจิตนาการถึงกามเทพ

  “เอ… เพลงรักของกามเทพเหรอจะเริ่มยังไงดี”

  “อนิตยา”

  “ว่าไงเหรอ มนตรี”

  ผมได้ยินบทสนทนาหนึ่งดังขึ้นจึงหันไปมอง ก็พบหนุ่มสาวที่น่าจะเป็นนักศึกษาปีสี่หรือไม่ก็อยู่ในวัยทำงานที่เพิ่งเรียนจบได้ไม่นาน ทั้งคู่อยู่ในชุดไปเที่ยวสบาย ๆ ให้บรรยากาศราวกับว่าเป็นเพื่อนมาเดินเที่ยวกันสองต่อสอง แต่อาจจะมีอะไรมากกว่านั้น ยิ่งฝ่ายชายน่าจะชื่อมนตรีกำลังตื่นเต้นจนเหงื่อไหลเต็ฒตัวขณะพยายามจะพูดอะไรบางอย่างอยู่นั้น ผมก็เข้าใจได้ในทันที

  นี่มันฉากสารภาพรัก !?

  ผมรู้สึกตื่นเต้นแทนพลางจ้องมองหนุ่มสาวทั้งสองด้วยความรู้สึกอิ่มเอมใจ

  อา… ความรักกำลังผลิบาน ณ ที่แห่งนี้สินะ

  ฝ่ายหญิงที่ชื่ออนิตยามองมนตรีด้วยสีหน้าตื่นเต้นไม่แพ้กัน มือที่กำอาหารนกพิราบไว้กำลังสั่นเทาเล็กน้อย ดูท่าว่าทั้งสองคนจะนัดกันมาให้อาหารนกพิราบยามเช้าที่สวนสาธารณะแห่งนี้ เมื่อผมเห็นท่าทางของฝ่ายหญิงแล้วพอจะเดาได้ว่า เธอเองก็น่าจะรู้ว่าฝ่ายชายต้องการจะพูดอะไรกับธอถึงได้ตื่นเต้นตามไปด้วย

  ว้าว ! ฝ่ายหญิงก็มีใจให้ด้วยสินะ ใจตรงกันแบบนี้ ลุยเลยมนตรี !

  ผมแทบจะส่งเสียงเชียร์แต่ก็กลัวว่าจะเสียมารยาท จึงได้แต่มองภาพหนุ่มสาวทั้งสองยืนจ้องตากันโดยมีต้นไม้เขียวชอุมของสวนสาธารณะและท้องฟ้าสีสดเป็นฉากหลัง ช่างสวยงามเหลือเกิน… ในยามทความรักกำลังจะเกิดขึ้นนี้คงเป็นเวลาที่กามเทพจะต้องบินลงมาจากท้องฟ้าเพื่อแผลงศรสินะ

  ในตอนนนั้นเองก็ปรากฎเงาร่างเลือนรางบนท้องฟ้าก่อนที่ภาพนั้นจะชัดขึ้น ผมเพ่งมองสักพักจนแน่ใจแล้วก็อุทานขึ้นมา “โอ้โห ไม่อยากจะเชื่อเลย”

  ภาพที่ผมเห็นคือชายหนุ่มผิวขาวหน้าตาคมเข้มเปี่ยมเสน่ห์ผมทองสั้นเป็นประกาย สวมชุดขาวทั้งตัว กำลังสยายปีกขนนกขนาดใหญ่สีขาวเจิดจ้า เขาค่อย ๆ ร่อนลงมาจากฟากฟ้า ช่างให้ความรู้สึกยิ่งใหญ่และงามสง่า

  ผมคงจินตนาการถึงกามเทพมากเกินไปจนเห็นภาพชัดขนาดนี้เลยสินะ ช่างเป็นภาพกามเทพที่งามสง่าและสมบูรณ์แบบ ดวงตาที่หรี่ลงยามมองมนุษย์ที่กำลังจะรักกันนั้นก็คล้ายกับเทพเจ้าที่กำลังมองมายังมนุษย์อย่างอ่อนโยนเสียนี่กระไร

  กามเทพหนุ่มนั้นมองหนุ่มสาวทั้งสองคนสลับไปมาอย่างช้า ๆ ก่อนพยักหน้าแผ่วเบาให้กับตนเอง

  ผมยิ้มอย่างอิ่มเอมที่ได้เห็นกามเทพในจิตนาการอย่างชัดเจนขนาดนี้ นี่คงเป็นแรงบันดาลใจใจการแต่งเพลงรักที่ยอดเยี่ยมได้อย่างแน่นอน ผมนึกชื่อเพลงออกเลยล่ะ ‘กามเทพบันดาลรัก’ แค่ชื่อเพลงก็สุดยอดแล้ว

  “อนิตยา คือฉัน…”

  ชายหนุ่มพยายามรวบรวมความกล้าเพื่อจะพูดอะไรบางอย่าง อนิตยาถึงกับกำกระป๋องถือในมือแน่นขึ้นแล้วถามอย่างคาดหวัง

  “อะ… อะไรหรอ มนตรี”

  “ฉันมีเรื่องจะสารภาพกับเธอ…”

  ผมเผลอทำท่ากำหมดไชโยเล็กน้อยด้วยความดีใจ

  ฉากนี้แหละที่ต้องการ อารมณ์นี้แหละ อย่างกับหลุดมากจากนิยายรักโรแมนติกเลย มันต้องแบบนี้ถึงจะเป็นรักบริสุทธิ์ ! ผมคิดในใจขณะเงยหน้าขึ้นมองบนท้องฟ้าเพื่อจิตนาการภาพกามเทพจ้องมองอนิตยาและมนตรีที่กำลังจะบอกรักกัน ใบหน้าของเทพหนุ่มคงกำลังส่องประกายสว่างขณะยิ้มอย่างอ่อนโยนและอบอุ่น ภาพนี้ใช้ทำเป็นมิวสิกวิดีโอได้เลยนะเนี่ย อ๊ะ… มาแล้ว ทำนองและเนื้อเพลงมันกำลังลอยขึ้นมาในหัวผมแล้ว นี่จะต้องเป็นเพลงช้าฟังสบาย เสียงกีตาร์โปร่งกังวาน คลอด้วยเสียงร้องขับขาน และเนื้อเพลงที่อ่อนละมุนดุจรอยยิ้มกามเทพประมาณนี้…

‘โอ้ ปีแห่งรัก ปีกกามเทพ
โอ้ พรแห่งรัก พรกามเทพ
โอ้ ยิ้มแห่งรัก ยิ้มกามเทพ
รอยยิ้มท่าน ช่างชั่วช้า…’

  ผมจ้องมองภาพของเทพหนุ่มรูปงามต่ออีกสักพักก่อนจะต้องเอามือขยี้ตาตัวเอง… เมื่อครู่นี้ผมคงจะตาฝาดไปหน่อย ถึงได้เห็นว่ากามเทพกำลังแสยะยิ้มแทนที่จะยิ้มอ่อนโยน มันต้องเป็นเพราะผมตาฝาดแน่ ๆ คงเพราะแสงอาทิตย์ส่องมาแยงตาผมเข้าพอดี ใบหน้างดงามของกามเทพก็เลยดูบิดเบี้ยวไป ก็กามเทพจะมีรอยยิ้มชั่วช้าสามานย์แบบนั้นได้อย่างไรกันล่ะ มันต้องเป็นเพราะแสงอาทิตย์แน่ ๆ โธ่ ไอแสงบ้าเอ้ย…

  “จะสารภาพอะไรเหรอ” อนิตยาถามอ้ำอึ้งและหลุบตามองพื้นด้วยความเขิน

  “คือว่าฉัน… !”

  ไม่ว่าผมจะตาฝาดไปเพราอะไรก็ตาม แต่ในเมื่อจิตนาการของผมก่อให้เกิดเรื่องบันดาลใจในการแต่งเพงขึ้นมาแล้ว ผมจะปล่อยให้มันหลุดลอยไปไม่ได้ ผมตัดสินใจหยิบสมุดเล่มเล็กสำหรับจดแรงบันดาลใจและเขียนเนื้อเพลงออกมา พร้อมกันกับที่กามเทพในจินตนาการของผมกำลังสยายปีกอยู่เบื้องบนพลางเอื้อมมือขาวผ่องไปด้านหลังเพื่อหยิบอะไรบางอย่าง นั่นคงเป็นคันศรที่กามเทพใช้แผลงศรรักอย่างแน่นอน เนื้อเพลงกำลังผุดขึ้นมาในสมองของผมอย่างไม่อาจหยุดได้อีก

‘โอบกอดร่างเราให้อบอุ่นด้วยปีกกามเทพ
ยิงหัวใจฉันให้เกิดรักด้วยศรกามเทพ
ฟันหัวฉันให้ขาดสะบั้นด้วยเคียวยักษ์ของกามเท…’

  ดะ…เดี๋ยวก่อน เคียวยักษ์มาจากไหนกัน !?

  ผมหยุดจดเนื้อเพลงแล้วขยี้ตาอีกครั้ง กามเทพที่ลอยอยู่เบื้องบนกำลังใช้สองมือถือเคียวยักษ์ขนาดใหญ่ คมเคียวดำขลับของมันสะท้อนแสงอาทิตย์เป็นประกาย  เหนือคมเคียวนั้นคือใบหน้าของกามเทพที่กำลังแสยะยิ้มเจ้าเล่ห์ อา… แสงอาทิตย์คงส่องมากระทบตาผมอีกแล้ว ผมถึงได้ตาฝาดเห็นอย่างนั้น ของที่อยู่ในมือกามเทพจะเป็นเคียวไปได้อย่างไรกัน องศาความโค้งขอคมเคียวนั้นแท้จริงแล้วน่าจะเป็นโค้งของคันศรกามเทพที่กำลังโก่งงอต่างหาก

  แต่เหมือนผมจะลืมอะไรบางอย่างไปหรือเปล่านะ…

  จริงสิ ในเมื่อมันเป็นจินตนาการของผม แล้วมันจะมีคำว่าตาฝาดได้อย่างไร

  ผมถึงกับเอามือปิดปากตนเองแล้วอุทานออกมา “เฮ้ย งั้นนั่นก็กามเทพของจริงน่ะสิ !”

  อนิตยาถามมนตรีด้วยท่าทางเคอะเขิน “คืออะไร ตกลงเธอจะบอกอะไรกับฉันเหรอ”

  “คือฉันจะบอกเธอว่า… ว่า…”

  ในขณะที่ทั้งสองยังเคอะเขินใส่กันอยู่นั่นเอง หามเทพก็ถือเคียวยักษ์ในมือชูมายังหนุ่มสาวทั้งคู่ด้วยท่าทีเย่อหยิ่งแล้วพึมพำออกมาก “ข้าจะทำให้พวกเจ้าได้คู่กันเอง”

  เมื่อกี้กามเทพพูดว่าอะไรนะ ‘ข้าจะทำให้พวกเจ้าได้ฆ่ากันเอง’ อย่างนั้นเหรอ ไม่ใช่สิ… ผมฟังผิดไป กามเทพบอกว่าให้คู่กัน ไม่ใช่ให้ฆ่ากัน แต่เพราะผมเห็นใบหน้าชั่วร้ายกับคมเคียวในมือของกามเทพเลยทำให้คิดว่าเทพหนุ่มน่าจะพูดคำว่า ‘ฆ่า’ ออกมาต่างหาก

  “มนตรี เธอมีเรื่องจะสารภาพกับฉันใช่ไหม”

  “ใช่ อนิตยา คือฉันมีเรื่องจะสารภาพกับเธอ… ว่า…”

  ว่าแต่พวกนายสองคนยังสารภาพรักกันไม่เสร็จอีกเหรอ !?

  ในขณะที่ผมชักเริ่มรู้สึกรำคาญอยู่นั่นเอง กามเทพหนุ่มก็เงื้อเคียวใยมือขึ้น “ตามซะเถอะ เอ๊ย ! รักกันซะเถอะ…”

  แม้แต่กามเทพก็ยังพูดผิดเป็นเหมือนกันแฮะ ดูไม่ต่างจากมนุษย์เท่าไหร่เลย  ผมกอดอกคิดในใจและพยักหน้าให้กับตัวเอง

  เดี๋ยวก่อน… นี่มันใช่เวลาจะมาคิดเรื่องนั้นซะที่ไหนกัน ตกลงแล้วกามเทพตรงหน้าผมตอนนี้เป็นของจริงสินะ ว่าแต่กามเทพที่ไหนจะบ้าถือเคียวแบบนี้ แล้วการฟันเคียวเล่มใหญ่ขนากนั้นใส่มนุษย์มันจะช่วยให้คนรักกันได้อย่างไร จะว่าไป เหมือนเคยเห็นเคียวแบบนั้นจากที่ไหนมาก่อน…

  ผมตบมือดังฉาดแล้วยิ้มออกมา “เคียวยมทูตไงล่ะ แบบเดียวกับในการ์ตูนเป๊ะเลย !”

  นี่มันใช่เวลามาดีใจที่ไหนกันเล่า ! เคียวยมทูตเชียวนะ ฟันใส่คนก็ตายกันพอดีสิ !

  “เตรียมใจไว้ได้เลย !” กามเทพตะโกนลั่นราวกับคึกในอารมณ์และบินขึ้นไปบนฟ้าก่อนจะหุบปีกและพุ่งลงมาเตรียมฟันเคียวใส่หนุ่มสาวทั้งสองที่ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะสารภาพรักกันเสร็จสักที

  “เฮ้ย ! ไม่นะ !”

  ผมตกใจจนเผลอตะโกนดังลั่น ทำให้อนิตยาและมนตรีสะดุ้งจนหันมามองผม ไม่ใช่แค่สองคนนั้น แต่กามเทพหนุ่มที่ลอยอยู่บนฟ้าก็เหลือบมองมาที่ผมพลางเบิกตาโพลง

  “นี่เจ้ามองเห็นข้าด้วยหรือ”

  ถามดี ๆ ก็ได้ ไม่ต้องเอาเคียวมาชี้หน้ากันแบบนี้ได้ไหม…

  “เอ๊ะ นี่พี่คีย์วง Wing ใช่ไหมคะ” อนิตยาสังเกตเห็นผมและจำได้ เธอเลิกสนใจมนตรีชั่วคราวก่อนจะวิ่งมาหาผมด้วยท่าทางตื่นเต้น “หนูปลื้มพี่มานานแล้วค่ะ พี่เล่นกีตาร์ก็เก่ง แต่งเพลงก็เพราะ หนูซื้อทุกซิงเกิลของพวกพี่เลยนะคะเนี่ย พี่เล่นกีตาร์ก็เก่ง แต่งเพลงก็เพราะ หนูซื้อทุกซิงเกิลของพวกพี่เลยนะคะเนี่ย โอ๊ย ตัวจริงพี่น่ารักกว่าในโปสเตอร์อีก”

  “เอ่อ… อนิตยา” มนตรีผู้ถูกลืมกำลังพยายามหาบทแทรก แต่หญิงสาวกลับไม่สนใจเขาอีกต่อไป ได้แค่มองมาที่ผมด้วยแววตาเป็นประกายสดใส บ่งบอกถึงความชื่นชมและความชอบที่เธอมีต่อผมอย่างเปี่ยมล้น

  เทพหนุ่มมองผมกับสาวน้อยที่ชื่ออนิตยาสลับกันมาโดยเลิกสนใจมนตรีไปโดยสิ้นเชิง สักพักกามเทพหนุ่มก็เอามือลูบคางแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์ “อ๊ะ พวกเจ้าสองคน…”

  ผมรู้สึกใจคอไม่ดีเลยจะเดินหนี แต่อนิตยาก็เป็นแฟนคลับพยายามเข้ามาดึงแขนเสื้อของผม “รอก่อนค่ะพี่ ช่วยถ่ายรูปกับหนูได้ไหมคะ หนูเป็นแฟนเพลงพี่มาตลอดเลยนะคะ หนูคลั่งพี่มากเลย อุ๊ย ตายแล้ว หนูพูดอะไรออกไปเนี่ย”

  “เอ่อ… ขอบคุณครับ” ผมฝืนยิ้มขอบคุณอนิตยา ทั้งที่ในใจอยากจะหนีไปให้พ้นจากที่นี่โดยเร็ว

  “แป๊ปนะคะ ตายละ เก็บมือถือไว้ไหนเนี่ย” ดูท่าหญิงสาวจะเขินมากจนหาโทรศัพท์ตนเองไม่เจอ ระหว่างที่เธอลุกลี้ลุกลนอยู่นั่นเอง เธอก็แอบเหลือบตามามองผม เราสองคนสบตากันแวบหนึ่ง

  “โอ้ ! โอกาสแผลงศรรัก” กามเทพพูดราวกับถึงเวลาทำหน้าที่ของตนพลางเงื้อเคียวในมือขึ้น

  เดี๋ยวก่อนสิ ! เมื่อกี้ท่านบอกว่าโอกาสแผลงศรรักไม่ใช่เหรอ แล้วจะเงื้อเคียวขึ้นมาทำไม ที่บ้านท่านเรียกเคียวนั่นว่าคันศรหรือไงครับ !?

  อย่างไรก็ดี หากไม่นับกามเทพพิบึกที่ลอยอยู่เหนือศีรษะของผมตอนนี้แล้ว บรรยากาศที่เกิดขึ้นในตอนนี้กำลังดีเลยทีเดียว ถ้าเป็นมิวสิกวิดีโอก็คงให้ภาพที่โรแมนติกมาก ๆ แค่ผมมองตาเธอ เธอมองตาผมทุกอย่างก็หยุดนิ่ง คล้ายเวลาหยุดเดินไปชั่วขณะ กล่องแช่ภาพนิ่ง ๆ ให้ เห็นว่าในกรอบภาพเหลือแค่เพียงเราสองที่จ้องตากันอยู่แบบนี้… แค่ผมและอนิตยาเท่านั้น

  “เอ่อ… อนิตยา” เสียงผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้น

  อ้อ ลืมไป ยังมีมนตรีอีกคน

  “ขะ… ขอโทษนะคะ” หญิงสาวเพิ่งรู้ตัวว่ามองผมนานไปแล้ว เธอหน้าแดงแล้วหันหนีเพราะเขินจัด สักพักเธอก็ควานหาโทรศัพท์เจอ จึงเข้ามายืนประชิดผมขณะหันกล้องหน้าโทรศัพทืมาเตรียมจะถ่ายรูปคู่และ…

  “ได้โอกาสแล้ว !” กามเทพพูดก่อนจะหวดเคียวลงมาทันที

  เดี๋ยว ! โอกาสอะไรของท่านครับเนี่ย !?

  “เหวอ ! อย่าฆ่าผมเลย !” ผมเห็นคมเคียวขนาดใหญ่เหนือศีรษะคนเองก็ตกใจกลัวแล้ววิ่งหนีอย่างไม่อาจห้ามตัวเองได้ ขอโทษนะครับน้องอนิตยา พี่ไม่ได้ตะโกนว่าน้องหรอก แต่พี่ว่าท่านกามเทพหน้าชั่วร้ายนั่นต่างหาก

  แต่ดูเหมือนสาวน้อยจะเข้าใจผิดว่าผมด่าเธอจึงร้องไห้ออกมา “ฮือ… พี่ใจร้าย ถ้าไม่อยากถ่ายเซลฟี่ด้วยกันก็ไม่ต้องพูดแรงขนาดนี้ก็ได้”

  กามเทพสยายปีกแล้วบินตามมาพร้อมชี้เคียวใส่หน้าผม “เฮ้ จะหนีไปไหนเจ้ามนุษย์ หยุดก่อน ข้าไม่ทำอะไรเจ้าหรอก !”

  ก่อนพูดแบบนั้นช่วยเลิกทำหน้าชั่วร้ายแล้วโยนเคียวยักษ์นั่นทิ่งไปเสียทีสิ ตอนนี้คำพูดท่านฟังดูไม่น่าเชื่อถือเลยครับ !

  “ก็บอกให้หยุดไงเล่า !” กามเทพทำท่าจะยื่นมือมาดักหน้าผม แต่คงลืมไปว่าในมือถือเคียวอยู่ ทำให้กลายเป็นการยื่นเคียวมาขวางผมแทน คมเคียวอยู่ห่างคอหอยไปแค่นิดเดียวเท่านั้น

  “ยะ… อย่าฆ่าผมเลย” ผมยกสองแขนขึ้นยอมแพ้ราวกับโจรจี้เทพหนุ่มรูปงามอาจเพิ่งรู้ตัวว่าเผลอแสดงการกระทำที่ไม่เหมาะสมกับภาพลักษณ์ไปจึงลดเคียวในมือลงแล้วกระแอมไอแก้เขิน อากัปกิริยาไม่ต่างกับครูใหญ่ที่เผลอทำเรื่องน่าอายขณะยืนประกาศหน้าเสาธงแล้วกระแอมไอเพื่อแก้เก้อ “ขอโทษที ข้าควรจะปฎิบัติต่อมนุษย์อย่างสุภาพ”

  เพิ่งนึกได้เหรอ สายไปแล้วครับท่าน !

  ผมฉวยโอกาสรีบวิ่งหนีกามเทพไปอีกทาง แว่วเสียงกามเทพพึมพำอะไรบางอย่างดังมาจากด้านหลัง จับใจความคร่าว ๆ ได้ประมาณว่า

  “ไม่ผิดแน่ เจ้านี่แหละ… ที่ข้าต้องการ”

 

ศรที่ 2 ==>
กลับหน้าหลัก

[catlist name="cupids-scythe-วิกฤตการณ์ป่วนฟ้า-เค" numberposts=0]