Dungeon Runner 1 | บทที่ 1 : ชีวิตของบัญชา
1
ชีวิตของบัญชา
บัญชาอ่านบทความในอินเทอร์เน็ตเกี่ยวกับการฆ่าตัวตายแล้วก็คิดจะมีสิ่งใดรออยู่หลังความตายกันนะ จะเป็น นรก สวรรค์ ความว่างเปล่า หรือเป็นสิ่งที่เหนือจินตนาการของเขาจะคาดไปถึง เขาไม่เข้าใจว่าทำไมอยู่ ๆ จึงได้สนใจเรื่องนี้ขึ้นมา แต่สองสามวันมานี้ เขาใช้เวลาไปกับการค้นคว้าเรื่องหลังความตายจนดึกทุกคืน ไม่ใช่ว่าเขาอยากตาย เขาเพียงแค่อยากรู้อยากเห็น ว่าคนอื่นคิดอย่างไรเกี่ยวกับโลกหลังความตายบ้าง
หลังจากใช้เวลาค้นคว้าผ่านอินเทอร์เน็ตและอ่านหนังสือในห้องสมุดหลายเล่ม บัญชาก็เริ่มเข้าใจว่า ทำไมคนจึงให้ความสำคัญกับศาสนานักคำสอนในทุกศาสนามีแก่นที่เชื่อมต่อกับปริศนาหลังความตาย ไม่ว่าจะเป็นการกลับมาเกิดใหม่ การขึ้นสวรรค์ลงนรก การเป็นหนึ่งเดียวกับตัวตนที่เหนือกว่า เพียงแต่ไม่มีใครทราบจริง ๆ ว่า ตายแล้วเป็นอย่างไร เพราะคนที่ตายไปแล้วไม่เคยกลับมาเล่าให้ฟัง ที่ออกมาอ้างว่าเคยไปเยือนโลกหลังความตายมาแล้วก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้
“นายบัญชา” เสียงห้วนดังมาจากหน้าห้องเรียน อาจารย์วิทยาผู้สอนวิชาฟิสิกส์ ขมวดคิ้วจ้องมายังเขา เพื่อนร่วมชั้นเองก็เหลือบมองด้วยความคิดต่าง ๆ นานา มีทั้งที่สงสารเห็นใจ อยากรู้อยากเห็น และยิ้มกริ่มรอหัวเราะเยาะเด็กมุมห้องเช่นเขา
“ครับ” บัญชาตอบพร้อมกับเก็บสมาร์ตโฟนเข้ากระเป๋ากางเกง สาเหตุที่เขาโดนเรียกก็เพราะเขาอ่านบทความในโทรศัพท์ระหว่างเวลาเรียนนั่นเอง
“ออกมาทำโจทย์นี้ซิ” อาจารย์วิทยากวักมือเรียกจากหน้าห้องบัญชาเดินผ่านช่องว่างระหว่างโต๊ะเรียนไปที่หน้าชั้น เขาหยิบชอล์กขึ้นมาจากรางกระดานดำ แล้วเขียนสมการอธิบายการทำงานของโมเมนตัมตามหลักฟิสิกส์อย่างละเอียดจนเสร็จเรียบร้อยจึงวางชอล์กลงบนรางตามเดิม อาจารย์วิทยาตรวจสอบคำตอบบนกระดานดำถึงสามรอบเหมือนจะมองหาความผิดพลาดในขั้นตอนการหาคำตอบ แล้วหันมาถามบัญชา
“เธออ่านบทเรียนของวันนี้มาก่อนแล้วเหรอ”
“ครับ อาจารย์เคยบอกไว้นี่ครับว่า ให้อ่านก่อนเข้าห้องเรียน” บัญชาตอบหน้าตาย
อาจารย์วิทยามองหน้าบัญชา แล้วโบกมือไล่ให้เขากลับไปนั่งที่ปัญหาของเด็กคนนี้คือไม่ค่อยสนใจเรียน แต่ผลการเรียนกลับอยู่ในระดับที่ดี ถามเกี่ยวกับเนื้อหาการเรียนเมื่อไรก็ตอบได้อย่างไม่มีปัญหา
“นายบัญชา ถึงเธอจะตอบคำถามได้ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะนั่งเล่นโทรศัพท์ ในเวลาเรียนได้ตามใจนะ พรุ่งนี้เธอต้องมาทำความสะอาดห้องเก็บอุปกรณ์กีฬาเป็นการทำโทษ เข้าใจไหม” อาจารย์วิทยากล่าวไล่หลังลูกศิษย์
“ครับ” บัญชาตอบรับง่าย ๆ ถึงอย่างไรเขาก็ไม่มีอะไรทำในวันเสาร์อยู่แล้ว
“เอ้า กุญแจ เสร็จแล้วเอามาคืนครูด้วยนะ” อาจารย์สาระ อาจารย์สอนพละผู้ดูแลกุญแจห้องเก็บอุปกรณ์กีฬายื่นกุญแจให้บัญชาที่ใส่ชุดเก่าซอมซ่อ เขาทักเมื่อเห็นบัญชาในชุดวอร์มเก่า
“เตรียมตัวมาเปื้อนเต็มที่ลยสินะ”
“ครับ ดอกไหนครับ” บัญชามองพวงกุญแจลวดขนาดใหญ่ที่ร้อยกุญแจไว้เกือบยี่สิบดอก “ดอกที่สิบสาม ทำเสร็จแล้วแวะมาเอานํ้าส้มกับขนมในห้องพักครูด้วยนะ ครูเลี้ยง” อาจารย์พละร่างกายกำยำยิ้มให้บัญชา
บัญชาเดินออกมาจากห้องพักครูแล้วตรงไปยังโรงยิมซึ่งต้องผ่านหน้าอาคารเรียนหลัก โรงเรียนมัธยมในอำเภอห่างไกลตัวจังหวัดค่อนข้างเงียบเหงาในวันหยุด โต๊ะหินอ่อนใต้ต้นไม้มีนักเรียนในชุดลำลองนั่งอ่านหนังสือทำการบ้านและรายงานกันประปราย บัญชาจำเด็กห้องม.4/2ที่กำลังสอบท่องตารางธาตุอยู่ใต้อาคารเรียนได้
เด็กห้องม. 4/2 จากระดับชั้นม.4 ทั้งสามห้องถูกมองว่าเป็นชั้นเรียนครึ่ง ๆ กลาง ๆ คือมีความสามารถทางวิชาการไม่เท่าห้องม.4/1 แต่ก็ทำกิจกรรมต่าง ๆ สู้ห้องม.4/3 ซึ่งเป็นห้องเรียนสายศิลป์ไม่ได้อีก นักกีฬาประจำโรงเรียนส่วนใหญ่จะมาจากห้อง 3 แทบทั้งหมด เด็กห้องม.4/2 จึงถูกมองว่าเป็นห้องเรียนไร้ความสามารถไปโดยปริยาย
บัญชาเรียนอยูห่ อ้ งม. 4/1 เขาเปน็ เด็กเกา่ ที่เลื่อนชั้นจากม.3 ขึ้นม.4โดยตรง แต่ต่อให้เขามาจากโรงเรียนอื่น เขาก็เข้าเรียนห้องม.4/1 ได้อย่างไม่มีปัญหาเพราะเขามีผลการเรียนสมัยชั้นมัธยมต้นค่อนข้างดี
ห้องเก็บอุปกรณ์กีฬาเป็นห้องเก็บของหลังโรงยิมซึ่งทำหน้าที่เป็นห้องประชุมนักเรียนไปในตัว แม้โรงเรียนของบัญชาจะไม่ใช่โรงเรียนในตัวเมือง แต่ก็เป็นโรงเรียนประจำอำเภอที่มีนักเรียนตั้งแต่ชั้นม.1 ถึงม.6อยู่เกือบพันคน ดังนั้นห้องประชุมจึงต้องมีขนาดใหญ่ในระดับหนึ่งเพื่อรองรับจำนวนนักเรียนในโรงเรียนทั้งหมดพร้อม ๆ กัน
บัญชาเปิดประตูโรงยิมซึ่งเป็นประตูบานเลื่อนขนาดใหญ่เข้าไป เห็นกลุ่มนักกีฬาวอลเลย์บอลหญิงกำลังซ้อมเพื่อเตรียมตัวสำหรับการแข่งขันระดับจังหวัดที่กำลังจะมาถึงในอีกสามเดือน อาจารย์ผู้คุมนักกีฬาหันมามองบัญชาแวบหนึ่งแล้วหันกลับไปดูนักเรียนต่อ
บัญชาเหลือบมองนักเรียนสาวรุ่นพี่ที่ซ้อมกันอย่างตั้งใจระหว่างที่เดินไปยังประตูด้านหลังโรงยิม รุ่นพี่เหล่านี้ช่างขยันขันแข็งต่างจากตัวเขาเหลือเกิน คำสั่งที่เขาได้รับก็คือการจัดเรียงสิ่งของต่าง ๆ ในห้องให้เป็นระเบียบ คงเทียบไม่ได้กับนักกีฬาที่อาจจะสร้างชื่อเสียงให้กับโรงเรียนเมื่อเปิดประตูเข้าไปบัญชาก็เห็นกองอุปกรณ์ต่าง ๆ วางเกะกะไปทั่วห้อง ทั้งที่ห้องเก็บของนั้นกว้างขวาง ทำให้ห้องดูแคบไปถนัดตาสาเหตุก็คือนักเรียนที่นำอุปกรณ์มาเก็บพากันวางของไว้ตามใจ ไม่ได้จัดวางให้เป็นระเบียบ
บัญชาเปิดพัดลมเพดานแล้วเริ่มต้นจัดเรียงของต่าง ๆ ทันที เขาเปิดเพลงในโทรศัพท์ฟังระหว่างทำงานไปด้วย เขาจึงสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อหันกลับมาเห็นรุ่นพี่ม.5 ในชุดเสื้อยืดชุ่มเหงื่อ เธอยิ้มและโยนลูกวอลเลย์ให้บัญชา จากนั้นจึงเข็นตะกร้าติดล้อซึ่งเต็มไปด้วยลูกวอลเลย์เข้ามาในห้อง
“พี่ฝากเก็บด้วยนะ”
บัญชาถอดหูฟังออกมาทันได้ยินเสียงเพราะ ๆ ของรุ่นพี่ก่อนที่เธอจะออกจากห้องไป เด็กหนุ่มที่กำลังอยู่ในวัยให้ความสนใจเพศตรงข้ามระบายลมหายใจเบา ๆ แล้วจัดการเก็บลูกวอลเลย์จนเสร็จ พยายามไม่คิดถึงเสื้อที่เปียกเหงื่อจนแนบเนื้อของรุ่นพี่
บัญชาทำงานอยู่เงียบ ๆ จนเสร็จตามหน้าที่ และตอนที่เขาจะเปิดประตูออกจากห้องนั้นเอง เสียงโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น บัญชาหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงเพื่อดูว่าใครเป็นคนโทรมาหา การที่มีคนโทรศัพท์มาหาเขาในเวลานี้เป็นเรื่องผิดปกติอย่างมาก
[Babel Dungeon]
เขาค่อนข้างมั่นใจว่าไม่ได้บันทึกเบอร์โทรศัพท์ของใครเอาไว้ด้วยชื่อพิลึก ๆ แบบนี้ รายชื่อในโทรศัพท์ก็มีไม่มากอยูแล้ว เรื่องที่ว่าบันทึกไว้แล้วจำไม่ได้จึงตัดไปได้เลย ปกติบัญชาจะตัดสายโทรศัพท์ลักษณะนี้ทิ้งไปโดยไม่สนใจ แต่ช่วงนี้เขารู้สึกเบื่อ ๆ จึงลองกดรับสายดู
ถ้ามีใครอยู่ในห้องเก็บของและกำลังมองบัญชาอยู่ เขาจะเห็นว่าร่างของเด็กหนุ่มหายไปจากห้องอย่างไร้ร่องรอย เหลือเพียงเสียงพัดลมติดเพดานตีแหวกอากาศที่เป็นหลักฐานว่า มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งเคยยืนอยู่ในห้องเมื่อไม่กี่วินาทีก่อนหน้านี้
บัญชามองรอบตัวแลว้ ขมวดคิ้ว เมื่อคนเราถูกผลักเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน สมองจะต้องใช้เวลาเพื่อปรับตัวกับสภาพแวดล้อม นั่นทำให้บัญชาหยุดนิ่งไปหลายวินาที จินตนาการถึงคนที่เดินในห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่เต็มไปด้วยผู้คน แต่เชือกผูกรองเท้าหลุดจึงต้องก้มลงไปผูกใหม่ และเมื่อยืนขึ้นมากลับพบว่า ตัวเองอยู่ในป่าทึบ ความมึนงงที่จะ
เกิดขึ้นนั้นพอจะคาดเดาได้
[ชุดและอุปกรณ์สำหรับนักสำรวจดันเจี้ยนมือใหม่อยู่ในกล่องไม้ด้านขวามือนะคะ และจะได้รับผลึกชีวิตหนึ่งชิ้นเป็นการสนับสนุนการผจญภัยครั้งแรกค่ะ]
เสียงจากโทรศัพท์จบลงแค่นั้นแล้วตามด้วยเสียงตัดสาย บัญชายังแยกประสาทมารับฟังเสียงใส ๆ นั้นไม่ได้ เพราะสายตาเขายังจับจ้องอยู่ที่ทิวทัศน์รอบตัวเขาพบตัวเองยืนอยู่บนแท่นหินลักษณะคล้ายกับฐานเสาธงในโรงเรียนแต่เล็กกว่า มีความกว้างเพียงห้าเมตร และแทนที่จะเป็นบล็อกคอนกรีตก็เป็นหินอ่อนขัดเงา ตัวแท่นลดระดับลงไปด้านหน้าเหมือน
บันไดกว้างทอดลงไปยังทางเดินปูแผ่นหินขัดเงา ซ้ายมือมีรูปแกะสลักหินอ่อนของหญิงสาวสวมชุดยาว เป็นรูปสลักที่สร้างขึ้นอย่างเลิศลํ้าจนสามารถทำลายความแข็งกระด้างของก้อนหินให้แปรเปลี่ยนเป็นความนุ่มพลิ้วของผืนผ้า
บัญชาพบว่ามีรูปสลักแบบเดียวกันนั้นตั้งไว้สี่ตัวรอบแท่นที่เขายืนด้านขวามือมีแท่นหินอ่อนสลักสูงเท่าโต๊ะเรียน ส่วนยอดของแท่นแกะไว้เป็นทรงพาน มีกล่องไม้สีเข้มเรียบหรูหนึ่งกล่องวางอยู่
บัญชายังไม่กล้าแตะกล่องไม้ขนาดเท่ากล่องรองเท้าผ้าใบ เขายืนอยูกั่บที่แลว้ หันมองดูรอบตัว บนเพดานโคง้ เหมือนโดมมีผลึกกอ้ นใหญหุ่ม้ตะแกรงสีทองแขวนไว้ ผลึกก้อนเท่าลูกฟุตบอลนั้นเปล่งแสงสีเหลืองอ่อนให้ความสว่างทั่วทั้งห้องเหมือนหลอดไฟความสว่างสูง
มองเพดานแล้วก็มองผนัง ห้องสี่เหลี่ยมกว้างพอ ๆ กับห้องเรียนมีประตูสี่บานบนผนังสี่ด้าน ประตูแต่ละบานมีสัญลักษณ์ตัวหนังสือแปลกประหลาดที่เขาไม่เคยพบเห็นสลักเอาไว้และมีเชิงเทียนติดไฟอยู่ที่วงกบประตู
“อะ…”
บัญชาออกเสียงได้แค่นั้น เขาไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี จะพูดกับใคร จะพูดทำไม เขายังไม่อาจยอมรับได้ว่า ตัวเองไม่ได้อยู่ในห้องเก็บของของโรงเรียน
ที่นี่ที่ไหน เกิดอะไรขึ้น ทำไมเราถึงมาอยูที่นี่ กล่องไม้นี่คืออะไรแล้วเสียงในโทรศัพท์นั่นคืออะไร…
“เออ โทรศัพท์” บัญชาพูดกับตัวเองอย่างที่ไม่เคยทำ เขาตื่นตระหนกมากจนหลุดบุคลิกปกติไป
ด้วยความเคยชิน แทนที่จะตรวจสอบดูรายการคนโทรเข้า เขากลับเปิดดูรายชื่อในโทรศัพท์แทน เขาเห็นสัญลักษณ์แบตเตอรีเป็นเครื่องหมายอินฟินิตี้ซึ่งเป็นเลขแปดนอนตะแคง สัญลักษณ์ความแรงของสัญญาณเปลี่ยนเป็นดอกจัน นั่นไม่ใช่จุดที่ต้องให้ความสนใจในตอนนี้สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญก็คือชื่อ ‘Babel Dungeon’ ที่มีอยู่ในรายชื่อต่างหาก
[Babel Dungeon – **********
เบอร์โทรศัพท์ที่มีแต่สัญลักษณ์ดอกจันยิ่งทำให้บัญชารู้สึกพิศวงมากขึ้นไปอีก เขารีบกดโทรออกโดยไว
[สวัสดีค่ะ บาเบลดันเจี้ยนค่ะ]
“อะ… สวัสดีครับ” บัญชายังไม่ทันตั้งตัวว่าอีกฝ่ายจะตอบรับเร็วขนาดนี้
[ค่ะ มีธุระต้องการติดต่อเกี่ยวกับอะไรคะ]
บัญชากลอกตาไปมาแล้วพยายามเลือกใช้คำพูดอย่างมีเหตุผล
“ที่นี่ที่ไหนครับ”
[ที่นี่คือบาเบลดันเจี้ยนค่ะ]
“แล้วทำไมผมถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะครับ” บัญชาพยายามห้ามใจไม่ถามว่าบาเบลดันเจี้ยนคืออะไร
[คุณบัญชาได้รับการสุ่มเลือกจากบาเบลดันเจี้ยน ให้เข้าร่วมการไขปริศนาบาเบลดันเจี้ยนค่ะ]
บัญชาฟังแล้วก็ยิ่งงงหนักเข้าไปอีก
“ผมไม่เข้าใจครับ”
[ปริศนาของบาเบลดันเจี้ยนคือสิ่งที่อยูป่ ลายสุดของบาเบลดันเจี้ยนค่ะ ขอเพียงเดินทางไปถึงส่วนปลายสุดของบาเบลดันเจี้ยนก็จะไขปริศนาได้สำเร็จค่ะ]
บัญชาขมวดคิ้วเม้มปากแน่น ยิ่งถามเขายิ่งไม่เข้าใจ
“บาเบลดันเจี้ยนคืออะไรครับ” เขาถามคำถามนี้ออกไปจนได้
[บาเบลดันเจี้ยนคือสิ่งปลูกสร้างที่มีชีวิต มีความคิดเป็นของตัวเองมีจุดหมายหนึ่งเดียวในชีวิตคือ การไขปริศนาในการคงอยู่ของตนเองว่าเกิดมาเพื่ออะไรและปริศนาของตัวเองคืออะไร ดิฉันเปน็ ผูดู้แลและสุม่ เลือกคนจากโลกและมิติต่าง ๆ ทั้งในอดีต ปัจจุบัน อนาคต เพื่อมาไขปริศนาของที่นี่ โดยผู้ที่ถูกเลือกจะต้องมีสติปัญญามากพอที่จะสื่อสารกันได้และมีความผูกพันกับโลกของตัวเองน้อย การไขปริศนานี้ดำเนินมาเป็นเวลามากกว่าหนึ่งแสนสี่หมื่นห้าพันเก้าร้อยหกสิบหกปีของโลกมนุษย์แล้ว แต่ยังไม่มีผู้ใดเดินทางไปถึงสุดปลายของบาเบลดันเจี้ยนได้สำเร็จเลยค่ะ]
บ้าบอคอแตก
นั่นคือความคิดของบัญชา หากเขายอมรับ เชื่อ และให้ความสำคัญในสิ่งที่เสียงในโทรศัพท์นี้พูด เขาก็คงจะกลายเป็น คนบ้า ที่พูดกับตัวเองอยู่ตามข้างถนน นี่ไม่ใช่นิยายแฟนตาซีที่ตัวเอกจะเชื่อทุกอย่างที่ถูกยัดเยียดแล้วออกเดินทางไปกู้โลกโดยไม่คิดอะไรเลย
“ผมไม่อยากเข้าร่วมการไขปริศนา ผมอยากกลับบ้าน กลับไปที่โรงเรียน ในห้องเก็บของที่ผมเพิ่งจะเก็บจนเสร็จเรียบร้อย”
[ได้ค่ะ]
บัญชาประหลาดใจที่เสียงปลายสายตอบกลับมาง่าย ๆ
[แต่คุณบัญชาจะไม่สนใจฟังผลประโยชน์จากการไขปริศนาก่อนเหรอคะ ฟังจบแล้วถ้าคุณบัญชายังไม่เปลี่ยนใจ ดิฉันจะส่งคุณกลับไปที่ที่คุณจากมาในทันทีค่ะ]
ทั้งที่อยากกลับมากเพียงไร บัญชาก็ยังยอมรับฟังการเกลี้ยกล่อมจากอีกฝ่าย ขอเพียงแค่ฟังจบเขาก็จะปฏิเสธและขอกลับบ้านทันที
“ครับ”
[ขอบคุณค่ะ บาเบลดันเจี้ยนเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาใด ใครเป็นผู้สร้าง ไม่มีใครทราบค่ะ ไม่มีผู้ใดทราบว่าขนาดของบาเบลดันเจี้ยนมีความกว้างใหญ่เพียงใด มีอายุเท่าไหร่ ลักษณะภายนอกเป็นอย่างไรแต่ในดันเจี้ยนจะมีสิ่งที่หลายคนคาดหวังเพื่อดึงดูดให้นักผจญภัยเข้ามาเยี่ยมเยียน ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สมบัติ ยารักษาโรค ยายืดชีวิต ความรู้ในจักรวาล ความจริงในอดีต ความอิ่มเอมอันลํ้าเลิศ เครื่องมืออุปกรณ์ทุกสิ่งที่คุณคาดหวังแต่ไม่สามารถหาได้จากโลกของคุณ คุณบัญชาสนใจในสิ่งเหล่านี้หรือไม่คะ]
“ไม่ครับ ผมขอกลับบ้านดีกว่า” บัญชาตอบอย่างเด็ดขาดรวดเร็ว เขาไม่อยากเป็นพระเอกและไม่เคยคิดที่จะเป็นนี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ…ไม่ใช่ด้วยวิธีนี้
[ได้… ค่ะ ดิฉันจะส่งคุณบัญชากลับไปยังที่ที่คุณจากมาเดี๋ยวนี้เลยค่ะ]
ถึงแม้จะข้องใจกับการลากเสียงยาวบวกนํ้าเสียงปนขำของหญิงสาวปลายทาง แต่บัญชาก็ดีใจที่จะได้กลับบ้านการผจญภัยบ้าบอของเขาจะต้องจบลงตั้งแต่ยังไม่เริ่มด้วยการตัดสินใจของเขาเอง และนั่นเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเขา
กะพริบตาครั้งเดียว บัญชาก็กลับมาอยู่ในห้องเก็บอุปกรณ์กีฬาทุกอย่างเป็นปกติ ทั้งอุปกรณ์ที่จัดเก็บจนเรียบร้อย เสียงนักกีฬาในโรงยิมที่กำลังฝึกซ้อม สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่เหมือนเป็นแค่ฝันกลางวันวูบหนึ่ง
หลังจากคืนกุญแจให้กับอาจารย์สาระแล้ว บัญชาก็เดินกลับบ้านบ้านของเขาอยู่ห่างจากโรงเรียนไปไม่ถึงหนึ่งกิโลเมตร เพียงแค่เดินลัดทุ่งนาที่ติดกับรั้วโรงเรียนประมาณห้านาทีเท่านั้น
เด็กหนุ่มดูดนํ้าส้มสลับกับเคี้ยวขนมปังยัดไส้ ในหัวยังคิดถึงเรื่องที่ได้ประสบเมื่อครู่ เขาพบว่าตัวเองไม่ใช่คนที่ยอมทิ้งสิ่งต่าง ๆ ในโลกนี้ได้โดยง่าย เขาเคยคิดว่าตัวเองเป็นคนไม่มีความอาลัยกับสิ่งรอบตัวความจริงแล้วเขายังมีความผูกพันกับสิ่งต่าง ๆ มากกว่าที่คิด ถ้าเป็นคนทั่วไป พวกเขาคงจะกระโดดเข้าสู่การผจญภัยไปโดยไม่ต้องคิดอะไรมาก
บัญชาหยุดฝีเท้าเมื่อเห็นบ้านที่ได้รับเป็นมรดกจากพ่อกำลังมีไฟลุกท่วม ควันสีดำเข้มตั้งตัวเป็นเสาลอยขึ้นสูงลิบ ผู้คนวิ่งกันวุ่นวาย แต่ไม่มีวี่แววของรถดับเพลิง
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น คนที่โทรศัพท์มาหาเขาไม่ใช่ใครอื่น บัญชากดรับสาย แต่ตายังหรี่มองบ้านของตนที่กำลังแปรสภาพเป็นเถ้าถ่าน
[สวัสดีค่ะ]
“…”
[ไม่ทราบว่า ก่อนออกจากบ้าน คุณบัญชาได้เสียบปลั๊กกานํ้าเอาไว้หรือเปล่าคะ ทำแบบนั้นอันตรายนะคะ อาจจะทำให้เกิดไฟไหม้ได้ อย่าประมาทสิคะ]
“นี่เป็นฝีมือของคุณเหรอ” บัญชากัดกรามกรอด
[เปล่าค่ะ อย่ากล่าวหากันสิคะ นี่เป็นความต้องการของบาเบลดันเจี้ยนต่างหาก ดูเหมือนบาเบลดันเจี้ยนจะถูกใจคุณพอสมควรเลยนะคะ ถ้าอยากมาเยือนบาเบลดันเจี้ยนเมื่อไหร่ ก็โทรมาที่เบอร์นี้เลยนะคะ อย่าฝืนเลยค่ะ คนที่โดนบาเบลหมายหัวแล้วไม่เคยมีใครหนีไปได้หรอกค่ะ]
“เดี๋ยวก่อนครับ”
[คะ ?]
“xxx” บัญชากระซิบด่า
หญิงสาวปลายสายหัวเราะคิกคัก
[ค่า สวัสดีค่ะ]
บัญชาที่เพิ่งด่าคนเป็นครั้งแรกยืนเท้าเอวถอนหายใจมองบ้านที่แปรสภาพเป็นขี้เถ้า จากนี้ไปชีวิตเรียบง่ายของเขาคงไม่มีเหลืออีกแล้ว
“พวกหม้อหุงข้าวอยู่ข้างหลังในห้องเก็บของนะ บัญชา ห้องนํ้ายังไม่ได้ทำความสะอาด ไปขอนํ้ายาล้างห้องนํ้ากับลุงเก้งก็แล้วกัน ขาดอะไรก็มาบอกครู”
อาจารย์สาระมองเด็กนักเรียนชั้นม.4 ที่เหลือแต่ตัวด้วยความเวทนาเมื่อไมกี่ชั่วโมงก่อนบัญชายังทำงานตามที่อาจารย์สั่งเหมือนนักเรียนทั่วไป แต่ตอนนี้เขากลายเป็นคนไร้บ้านตั้งแต่อายุสิบหกปี โชคยังดีที่โรงเรียนมีหอพักเก่าให้บัญชาได้เข้ามาอาศัยก่อนชั่วคราวจนกว่าจะหาที่อยู่ใหม่ได้
หอพักนี้เคยใช้เป็นที่พักของนักเรียนที่ต้องเดินทางไกลมาเรียนเพื่อช่วยลดค่าใช้จ่าย แต่ปัจจุบันไม่ได้ใช้งานเนื่องจากมีโรงเรียนมัธยมในพื้นที่ห่างไกลมากขึ้น นักเรียนไม่จำเป็นต้องเดินทางมาเรียนในตัวอำเภอที่ห่างจากบ้านมากกว่าสิบกิโลเมตร
“ไง อัปเกรดบ้านใหม่ เหมาห้องสำหรับสิบคนมาอยู่คนเดียวเลยนะ” อาจารย์สาระพยายามตลก แต่บัญชาไม่ตลกด้วยเท่าไร แค่นึกถึงงานเอกสารที่ต้องทำใหม่เกือบทั้งหมด เขาก็เหนื่อยใจแล้ว
“นายบัญชา อย่ายอมแพ้นะ ไม่ว่าเราจะตกอับแค่ไหน ถ้ายังมีชีวิตอยู่ ยังไงก็กลับมาได้ นึกถึงคนที่เขาแย่กว่าเรา เขาก็ยังอยู่ได้ พวกครูจะช่วยหาทุนการศึกษาให้” อาจารย์สาระพูดด้วยนํ้าเสียงจริงจัง
“ขอบคุณมากครับ อาจารย์” บัญชายกมือไหว้ คำพูดที่ดูเลี่ยนตลกในเวลาปกตินั้นให้กำลังใจได้อย่างเหลือเชื่อในยามลำบาก
อาจารย์สาระพยักหน้ารับแล้วเดินออกจากห้อง ทิ้งใหับัญชาอยู่ในห้องชั้นบนของหอพัก
บัญชาทิ้งตัวลงบนเตียงเหล็ก ฟูกที่ขาดการดูแลมานานคลายฝุ่นออกมาจนคลุ้ง เตียงก็ส่งเสียงดังเอี๊ยดเหมือนจะหักออกเป็นสองท่อนทำให้บัญชาต้องลุกขึ้นมาจัดการกับฟูกและเตียงก่อน ไม่เช่นนั้นเขาคงนอนไม่ได้
ฟูกถูกนำออกไปตีไล่ฝุ่นที่ระเบียงชั้นสอง เตียงเหล็กเก่าที่ส่งเสียงดังถูกนำไปเก็บในห้องเก็บของรวมกับเตียงหลังอื่น เตียงไม้ที่หนักกว่าแต่ส่งเสียงน้อยกว่าถูกลากออกมาวางในห้องแทน
บัญชานั่งทานข้าวหมูแดงที่อาจารย์ซื้อมาฝากแล้วอาบนํ้า เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดที่อาจารย์หลาย ๆ คนช่วยแบ่งปันมาให้ เขานั่งลงที่โต๊ะอ่านหนังสือข้างเตียง เขียนสิ่งที่ต้องทำในวันพรุ่งนี้จนเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงล้มตัวลงนอน
ตอนนี้เป็นเวลาสามทุ่มที่ฟ้ามืดแล้ว แต่เขานอนไม่หลับ แทนที่จะนอนตาเบิกโพลงอยู่เช่นนั้น บัญชาก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อจะโทรหาบาเบล ไม่แน่ใจว่าวันนี้เขายังเข้าดันเจี้ยนได้หรือไม่
เมื่อกดโทรออกด้วยหมายเลขติดต่อเดิม เขาก็ถูกส่งมายังห้องที่มาเมื่อบ่ายวันนี้
กล่องที่วางอยู่บนแท่นยังคงไม่หายไปไหน เมื่อเปิดดูภายในกล่องบัญชาก็พบเสื้อผ้าแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน บนเสื้อและกางเกงที่พับไว้มีสร้อยคอแขวนจี้อัญมณีเม็ดใหญ่วางอยู่ เสื้อเป็นเสื้อเชิ้ตแขนสั้นเย็บจากผ้าทอเนื้อหยาบหนา กางเกงก็เช่นกัน ถ้าไม่ใส่เสื้อและกางเกงไว้อีกชั้นหนึ่งผิวหนังคงโดนขูดจนเลือดไหลซิบ แต่ผู้จัดก็คงรู้เรื่องนี้ดีจึงจัดวางเสื้อผ้าตัวในเนื้อบางเบาเอาไว้ด้วย
ตอนนี้เองที่บัญชารู้ตัวว่าตัวเองทำผิดพลาดไปมาก เขาตัดสินใจเข้ามาในดันเจี้ยนโดยที่ไม่ได้เตรียมการให้พร้อม นอกจากใส่รองเท้าผ้าใบพกไฟแช็กและมีดทำครัวหนึ่งเล่มแล้ว เขาไม่ได้นำอะไรอย่างอื่นเข้ามาอีกเลย การคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผลของเขาลดลงไปมาก ในหัวเขามีแต่ความรู้สึกที่ว่า “จะยังไงก็มาเถอะ ลองดูสักตั้ง”
บัญชาเก็บสร้อยคอเข้ากระเป๋า สวมเสื้อและกางเกงตัวหนาทับชุดวอรม์ ที่เขาใส่อยู่ เสื้อผ้าตัวในที่บางเฉียบนั้นเขาเห็นว่าไม่ถูกโฉลกเท่าไหร่ เสื้อตัวใหม่ทำให้เขาเดินลำบากขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ให้ความรู้สึกแน่นหนา
บัญชาเดินไปยังประตูบานเดียวที่มีไฟติดอยูต่ รงขอบประตู เมื่อเดินมาถึงระยะสามก้าว ประตูหินก็เปิดออก เผยให้เห็นช่องทางเดินยาวทอดลึกเข้าไปสู่ความมืด
มันทำให้เขาอดคิดถึงเกมที่เคยเล่นหลาย ๆ เกมไม่ได้
บัญชาผู้ไม่ค่อยมีเพื่อนมักจะใช้เวลาไปกับการเล่นเกม ส่วนใหญ่เป็นเกมผจญภัยแบบสวมบทบาทมากกว่าเกมออนไลน์ เทียบกันแล้วการเล่นเกมคนเดียวแบบดำเนินตามเนื้อเรื่องจะได้อรรถรสกว่า เกมออนไลน์ต้องเล่นกับเพื่อนถึงจะสนุก
ดันเจี้ยนที่เขาเห็นนี้มีลักษณะพื้นฐานที่เห็นได้บ่อยในเกม เป็นสิ่งก่อสร้างที่อิงมาจากห้องใต้ดินของปราสาทในยุคกลาง ปกติจะมีไว้ใช้ประโยชน์หลายอย่าง ตั้งแต่เก็บถนอมอาหารต่าง ๆ ไปจนถึงการกักขังนักโทษ บัญชาไม่ทราบว่าจุดเริ่มต้นของการนำดันเจี้ยนเข้ามาในเกมนั้นคือเมื่อไร แต่ปัจจุบัน ถ้าพูดถึงดันเจี้ยนก็จะคิดถึงแต่ห้องใต้ดินที่มีโถงทางเดินเชื่อมต่อกัน มีสัตว์ประหลาดคอยเฝ้า มีหีบสมบัติ มีกับดักและเวทมนตร์
เสียงประตูปิดตามหลังดังตึงทำเอาบัญชาสะดุ้งเฮือก ทุกอย่างรอบตัวมืดสนิทในทันที โชคดีที่เขามีโทรศัพท์ติดตัวจึงสามารถใช้แสงจากโทรศัพท์นำทางได้ บัญชาพยายามเลื่อนเปิดประตู แต่ประตูหินนั้นปิดแน่นเหมือนถูกเชื่อมติดกันเป็นเนื้อเดียวกับวงกบประตู ไม่ว่าจะออกแรงเท่าไรก็ไม่สั่นคลอน
บัญชารีบโทรศัพท์ไปหาหญิงสาวผู้นั้นทันที
“ขอโทษครับ ประตูมันปิดแล้ว ผมจะกลับบ้านยังไงครับ คุณส่งผมกลับได้ใช่ไหม”
[ไม่ได้แล้วค่ะ คุณบัญชาสามารถออกจากดันเจี้ยนได้ที่จุดเซฟซึ่งเป็นบันไดขึ้นลงเท่านั้นค่ะ]
“หมายความว่าผมต้องเดินหาบันไดถึงจะกลับได้ใช่ไหมครับ”
“ใช่แล้วค่ะ ดิฉันจะติดตั้งแอปพลิเคชัน บาเบลดันเจี้ยน ในโทรศัพท์ของคุณบัญชาให้นะคะ ถ้าจะออกจากดันเจี้ยนก็เลือกใช้คำสั่งจากแอปที่จุดเซฟได้เลยค่ะ ในแอปยังมีฟังก์ชันอื่น ๆ เช่น แผนที่และช่องเก็บของลองศึกษาดูนะคะ”
พูดจบเธอก็วางสายไป ปล่อยให้บัญชาถอนหายใจในความมืดคนเดียว บัญชาพบว่าโทรศัพท์ของเขามีแอปพลิเคชันชื่อ ‘Babel Dungeon’เพิ่มขึ้นมา ดูผ่าน ๆ เหมือนแอปฯ เกมมือถือทั่วไป แม้แต่รายละเอียดในแอปฯ ก็เป็นเหมือนเกม RPG มีแผนที่และช่องเก็บของสี่ช่อง
ถ้าหากมีข้อมูลตัวละครและค่าประสบการณ์เพิ่มเข้ามา บัญชาคงคิดว่าตัวเองกลายเป็นตัวเอกในนิยายเกมออนไลน์ไปแล้ว
“โอ๊ย !” บัญชาร้องเพราะรู้สึกเหมือนมีอะไรแทงเท้า เขาใช้แสงไฟจากโทรศัพท์ส่องก็เห็นหนูตัวเท่าแมวอ้วน ๆ ฟันแหลมเหมือนฟันเลื่อยกำลังกัดเคี้ยวรองเท้าผ้าใบของเขาอยู่
ด้วยความตกใจ บัญชากระชากเท้าออกมาและเตะหนูยักษ์ตัวนั้นอย่างแรง
บัญชารู้สึกเหมือนเตะกระสอบทรายกระสอบเล็ก ๆ เสียงจี๊ดของหนูตัวนั้นดังกว่าหนูทั่วไปเช่นเดียวกับขนาดของมัน เสียงหนูกระแทกผนังทางเดินดันเจี้ยนดังเหมือนคนฟาดกระสอบทรายใส่พื้น
บัญชารีบเปลี่ยนจากการใช้ไฟหน้าจอมาเป็นไฟฉายจากแฟลชด้านหลังแทน ภาพของหนูนับสิบตัวที่ล้อมเขาอยู่ทำให้เขาขนลุกเกรียว
เขาเตะหนูตัวหนึ่งที่เข้ามากัดเท้าจนมันร้องเสียงดัง หนูอีกตัวหนึ่งเข้ามากัดเขาจากด้านหลัง ทำให้บัญชาต้องหมุนตัวกลับมาเตะมันจนลอยไปชนผนังอีกตัว
เมื่อหนูใหญ่เหล่านั้นโดนเตะก็ชะงักเล็กน้อยก่อนพุ่ง เข้ามาเล่นงานบัญชาด้วยความโกรธเกรี้ยวยิ่งกว่าเดิม
ในเมื่อไม่มีทางเลือกอื่น บัญชาจึงดึงมีดเล่มบางที่หยิบมาจากห้องครัวในหอพักออกมาจากขอบกางเกง ฟันใส่หนูตัวที่อยู่ใกล้ที่สุดจนเลือดสาดกระจาย
การผจญภัยของบัญชาเริ่มต้นขึ้นแล้วในวันนี้ และชีวิตของเขาจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป…
บทที่ 2 ==> |
กลับหน้าหลัก |
[catlist name="dungeon-runner-ไขปริศนาผ่าดันเจี้ยน" numberposts=0]