1168 PUBLISHING
Dungeon Runner ไขปริศนาผ่าดันเจี้ยนพิศวง 1อ่านนิยาย

Dungeon Runner 1 | บทที่ 2 : ดันเจี้ยนชั้นที่ 1

2

ดันเจี๊ยนชั้นที่ 1

          บัญชาไม่คิดเลยว่า การใช้มีดฟันสัตว์ตัวขนาดเท่าแมวจะทำได้ลำบากเช่นนี้ การฟันวัตถุที่อยู่ตํ่าทำให้เขาต้องก้มลง และการออกแรงฟันอย่างมีประสิทธิภาพในท่าก้มนั้นก็ทำได้ยากยิ่ง เขาเข้าใจขึ้นมาทันทีว่า ทำไมคนสมัยก่อนถึงไม่ใช้มีดในการต่อสู้ มีดที่เขาใช้ในตอนนี้ไม่เหมาะกับการต่อสู้เอาเสียเลย

          แต่ด้วยแรงฮึดของคนที่กำลังตื่นตระหนก ทำให้บัญชาฟันมีดซ้ายขวาอย่างไม่ท้อถอย พลาดก็ไม่เก็บมาใส่ใจและเปลี่ยนเป้าหมายหรือปรับเปลี่ยนวิธีการใช้มีด มือหนึ่งถือโทรศัพท์ส่องไฟเพื่อดูรอบตัว มือหนึ่งทิ่มแทงฟาดฟันจนกระทั่งจัดการหนูทั้งหมดได้ในที่สุด เขานั่งหอบหายใจในความมืดอยู่พักหนึ่งแล้วจึงใช้แสงไฟจากโทรศัพท์ส่องดูรอบตัวให้ละเอียดอีกครั้ง

          น่าประหลาด… แทนที่จะมีซากหนูกระจายอยูทั่วไป บนพื้นหินสกัด กลับมีแต่แผ่นหนังหนูที่ถลกเอาไว้เรียบร้อยและเนื้อหนูสองชิ้นที่เลาะกระดูกแล้ววางไว้ใกล้ ๆ กันส่งกลิ่นคาวแตะจมูก

          บัญชาหยิบแผ่นหนังที่อยู่ใกล้ตัวขึ้นมาดู กลิ่นคาวของผิวหนังชั้นนอกกับกลิ่นสาบสกปรกของขนหนูทำให้บัญชาผงะ แผ่นหนังสดของหนูที่อาศัยอยู่ในดันเจี้ยนก็คงเป็นเช่นนี้

          บัญชาไม่ทราบจะทำอย่างไร เขาไม่เคยมีประสบการณ์ในการตะลุยดันเจี้ยนมาก่อน จะมีก็แต่ประสบการณ์ในเกม และมันก็แตกต่างจากโลกแห่งความจริงมาก อย่างน้อยในเกมก็ไม่มีกลิ่นคาวชวนปวดหัวเช่นนี้

          บัญชายันตัวลุกขึ้นยืนหลังนั่งพักไดค้ รูห่ นึ่ง ความเจ็บปวดทำให้เขารีบใช้ไฟส่องดูเท้า รองเท้าผ้าใบของเขาถูกแทะจนทะลุหลายรู เผยให้เห็นผิวหนังใต้ผ้าใบรองเท้า บางจุดมีเลือดออกจากปากแผล เปลี่ยนรองเท้าผ้าใบสีนํ้าตาลเป็นสีดำ

          เขาได้แต่หวังว่าจะไม่ติดโรคจากฟันหนูพวกนี้ เขาใช้ไฟส่องดูรอบตัวอีกครั้ง ตัดสินใจใช้เสื้อตัวบางที่ไม่ได้ใส่เก็บเนื้อและหนังของหนูเอาไว้ มัดมุมเสื้อทั้งสี่ทำเป็นหูหิ้วแล้วออกก้าวเดินไปข้างหน้า ลืมไปเลยว่าหญิงสาวที่โทรมาหาเขาบอกว่าแอปพลิเคชัน Babel Dungeon ใช้เก็บของได้ แต่ไม่ว่าใครก็ต้องตื่นตระหนกจนลืมตัวหากตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้

          หลังจากเดินไปได้พักหนึ่ง บัญชาก็เบิกตาโพลงด้วยความยินดีเมื่อเห็นคบเพลิงที่ยังไม่จุดสอดอยู่ในแท่นวางบนผนัง ตัวคบเพลิงมีด้ามเป็นไม้ ตรงปลายพันผ้าชุบยางไม้สีดำกลิ่นหอมปนฉุนรัดด้วยลวดเหล็ก บัญชาใช้ไฟแช็กที่นำติดตัวมาด้วยจุดคบเพลิง เมื่อยางไม้ต้องไฟก็ลุกวาบเป็นลูกไฟสว่างจ้าแล้วหรี่ลง กลายเป็นเปลวสมํ่าเสมอที่ให้แสงสีเหลืองนุ่มนวล

          บัญชาทดลองสะบัดคบเพลิงก็พบว่าไฟไม่ดับโดยง่าย ต่อให้ใช้คบเพลิงนี้ทุบหนูสักตัวสองตัวก็คงไม่ทำให้เขาตกอยู่ในความมืด ประโยชน์อีกอย่างหนึ่งของการใช้คบเพลิงแทนโทรศัพท์ก็คือ ทิศทางการให้แสงสว่างแสงจากโทรศัพท์นั้นสว่างกว่า แต่จะฉายไปเพียงด้านหน้าทำให้มองโดยรอบไม่ชัดเจน ขณะต่อสู้ก็กำหนดทิศทางของแสงได้ลำบาก แต่ถ้าเป็นคบเพลิงที่ให้แสงได้รอบตัว เขาก็ไม่ต้องกังวลกับเรื่องนี้และพุ่งสมาธิไปที่การต่อสู้ได้เต็มที่

          โถงทางเดินยาวที่ต้องแสงไฟจากคบเพลิงสร้างความรู้สึกแปลกประหลาดให้กับบัญชา ต่างจากเมื่อครู่ที่เขาใช้แสงจากโทรศัพท์ส่องทางคบเพลิงในมือทำให้เขารู้สึกตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง แต่แสงจากโทรศัพท์คล้ายกับเป็นตัวเชื่อมต่อระหว่างเขากับโลกที่จากมา เป็นเทคโนโลยีที่เป็นตัวแทนภูมิปัญญาของมนุษย์ แต่คบเพลิงนี้ทำให้เขารู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในโลกนั้นจริง ๆ

          บัญชาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเพื่อปลอบใจตัวเองว่า เขายังมีสิ่งที่เชื่อมต่อกับโลกใบเดิม ตอนที่ดูโทรศัพท์นี้เองที่บัญชาสังเกตเห็นว่านาฬิกาไม่เดิน เขาลองเปิดแอปพลิเคชันต่าง ๆ บนโทรศัพท์ การใช้งานของแอปพลิเคชันที่ต้องเชื่อมต่อกัอินเทอร์เน็ตล้วนใช้งานไม่ได้ แต่แอปพลิเคชันอื่นยังทำงานได้เป็นปกติ

          “…”

          บัญชาหยุดคิด แล้วตัดสินใจถ่ายรูปตัวเองโดยมีฉากหลังเป็นคบเพลิงส่องดันเจี้ยนอันมืดมิด เขาเปิดดูรูปและเห็นว่ายังถ่ายรูปได้เป็นปกติ ตอนนี้เขายังโพสต์ลงในสื่อโซเชียลเน็ตเวิร์กไม่ได้ แต่พอออนไลน์ได้แล้วเขาจะลองอัปโหลดภาพการ   ผจญภัยที่คงไม่มีใครเชื่อดู นอกจากโพสต์ แรก ๆ ที่เป็นรูปอาหารไร้สาระแล้ว บัญชาไม่ได้โพสต์มาเป็นเวลานาน เพราะเขาไม่มีเพื่อน กิจกรรมทางโซเชียลเน็ตเวิร์กเช่นนี้ไม่มีความสำคัญสำหรับเขาเท่าไรอยู่แล้ว

          บัญชายิ้มให้กับตัวเอง ส่ายหน้าแล้วเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋า นี่เขากำลังทำบ้าอะไรอยู่หนอ…

          ทางข้างหน้ายังมืดมิด แต่บัญชารู้สึกมีกำลังใจมากขึ้น เขาเดินไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง สายตาสอดส่อง หูเงี่ยฟัง คอยระวังหลังมองหาสิ่งผิดปกติอยู่บ่อย ๆ ความเงียบในดันเจี้ยนให้ความรู้สึกวังเวง

          โครงกระดูก

          บัญชาหยุดอยูกั่บที่เมื่อเห็นโครงกระดูกในเสื้อผ้าขาด ๆ เก่า ๆ นอนอยู่บนพื้นข้างหน้า ห่างไปประมาณห้าเมตร

          บัญชาไม่กลัวโครงกระดูก เขากลัวแต่ว่ามันจะไม่ใช่โครงกระดูกธรรมดา เขาเล่นเกมมาไม่น้อยและได้เห็นโครงกระดูกลุกขึ้นมาไล่ฆ่าคนอยู่บ่อย ๆ การที่โครงกระดูกตรงหน้าจะทำเช่นนั้นได้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดเลยสักนิด

          เด็กหนุ่มใช้ความคิด เขาควรทำอย่างไรดี โครงกระดูกนอนขวางทางอยู่เช่นนี้ ถ้าจะเดินหน้าต่อไป อย่างไรก็ไม่มีทางหลบพ้น ตัวโครงกระดูกไม่มีกล้ามเนื้อเหมือนมนุษย์ที่พอจะดูออกว่าร่างกายใหญ่โตเพียงใด แล้วเขาจะทราบได้อย่างไรว่า ถ้ามันขยับได้แล้วจะแข็งแกร่งแค่ไหน

          บัญชาสรุปว่าจะอย่างไรก็ต้องทดสอบดูก่อนว่าโครงกระดูกนั้นขยับได้หรือไม่ เป็นกระดูกธรรมดาหรือว่าเป็นกระดูกแบบในเกมที่เคลื่อนที่ได้

          วิธีที่บัญชาคิดขึ้นมาได้ก็คือ ทดลองโยนเนื้อหนูขนาดเท่าลูกส้มโอใส่โครงกระดูก ถ้ามันขยับได้เมื่อถูกโยนของใส่ก็ต้องขยับแน่ ๆ บัญชาคิดไปถึงตอนที่เขาเล่นเกม ถ้าเป็นตัวละครในเกมเขาคงเดินผ่านไปแบบสบาย ๆ โดยไม่สนใจอะไร แต่เมื่อกลายเป็นตัวเขาที่มีเลือดเนื้อและชีวิตจริง ๆ เขากลับไม่กล้าทำเช่นนั้น การมีชีวิตเป็นเดิมพันทำให้เขาต้องรอบคอบในการทำสิ่งต่าง ๆ มากกว่าในเกม

          กึกเคร้ง !

          สองเสียงดังต่อเนื่องกันทำเอาบัญชากระโดดถอยมาหลายก้าว ไม่ใช่กระโดดเพราะสะดุ้งตกใจ แต่เป็นเพราะเหล็กแหลมซี่ถี่พุ่งทะลุจากพื้นขึ้นมาร่วมเมตร ดีดโครงกระดูกจนชิ้นส่วนกระจายออกไปทั่วบริเวณ

          หัวใจบัญชาเต้นถี่ยิ่งกว่าการรัวกลองดุริยางค์ เขาเบิกตามองเหล็กแหลมเหล่านั้นอยู่ห้าวินาที แล้วจึงสะดุ้งเมื่อเหล็กแหลมหายลงไปในพื้นส่งเสียง เช้ง เหมือนเสียงเก็บดาบเข้าฝักในภาพยนตร์จีนกำลังภายใน

          อย่างน้อยก็ไม่ต้องกลัวว่าโครงกระดูกจะลุกขึ้นมาลวนลาม บัญชาคิดในใจ โครงกระดูกนี้คงเป็นของคนที่พลาดท่าโดนกับดักเล่นงานมากกว่า

          เมื่อตั้งสติได้แล้วบัญชาก็พิจารณากับดักอย่างละเอียด เขาทดลองโยนของลงบนกับดักอีกหลายครั้ง ส่วนใหญ่ก็เป็นชิ้นส่วนกระดูกที่กระจายไปทั่ว ถ้าเป็นกระดูกชิ้นเล็กนํ้าหนักน้อย กับดักจะไม่ทำงาน แต่ถ้าเป็นของที่มีนํ้าหนักประมาณหนึ่งกิโลกรัมอย่างเช่นกระดูกเชิงกราน จะทำให้กับดักลั่น ตัวเหล็กแหลมนั้นความจริงเป็นดาบเล่มบางแทรกผ่านช่องว่างระหว่างแผ่นหินขึ้นมา

          หลังจากโยนกระดูกใส่กับดักอยู่หลายครั้งจนแน่ใจว่ากลไกจะทำงานอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีการหยุดแล้ว บัญชาก็พยายามกะระยะความกว้างของกับดักด้วยสายตา ระยะการทำงานของกับดักไม่น่าเกินเมตรครึ่ง เขามั่นใจว่าสามารถกระโดดข้ามระยะเมตรครึ่งนั้นไปได้

          ด้วยความรอบคอบ บัญชาโยนกระดูกขาใส่พื้นที่ว่างพ้นกับดักไปเพื่อยืนยันว่าไม่มีกับดักซ้อน

          เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีกับดักซ้อนอยู่อีกชั้นหนึ่ง บัญชาก็นำกระดูกขาที่กระเด็นมาอีกชิ้นวางลงบนพื้นเป็นจุดสังเกต เดินถอยหลังแล้วออกแรงวิ่งกระโดดข้ามกับดักด้วยหัวใจเต้นระทึก

          ในตอนนั้นเอง เนื้อหนูที่เขาเก็บไว้ในกระเป๋าที่ทำจากเสื้อก็หลุดออกมา เนื้อหนูร่วงลงสู่กับดักในจังหวะที่ปลายเท้าของบัญชาเคลื่อนพ้นระยะกับดักพอดี บัญชาไม่กล้าแม้แต่จะก้าวต่อไป เขายืนมือสั่นขาสั่นอยู่หลังกับดัก หัวใจเต้นรัวยิ่งกว่าเมื่อสักครู่ เข้าใจความรู้สึกของคนที่ประสบเหตุการณ์เฉียดตายขึ้นมาในทันที

          บัญชาเรียกแอปพลิเคชันจดบันทึกในโทรศัพท์ขึ้นมาพิมพ์รายการของที่ต้องเตรียมในการมาเยือนดันเจี้ยนครั้งต่อไป เขาพิมพ์ผิดพิมพ์ถูกเพราะมือสั่น แต่เขาก็ไม่ใส่ใจ เอาแค่อ่านรู้เรื่องก็พอใช้ได้แล้ว เขาต้องพกไม้สำหรับเคาะตรวจสอบกับดัก เชือก ไฟฉาย และที่ขาดไม่ได้คืออาหาร รวมถึงสมุดจดบันทึกที่เขียนได้ง่ายกว่าการใช้นิ้วจิ้มลงบนโทรศัพท์หน้าจอเล็ก ๆ ที่ไม่สะดวกเอาเสียเลยในเวลาเช่นนี้

          สมองของเขาทำงานได้ดีที่สุดเพียงแค่นี้ ในโถงทางเดินที่เงียบกริบสิ่งที่ส่งเสียงดังมากที่สุดก็คือหัวใจที่เต้นอยู่ในอกของบัญชา

          บัญชาเดินมาถึงทางแยกแรก เป็นทางแยกตั้งฉากซ้ายขวาให้เลือกเดิน แสงจากคบเพลิงส่องไม่ถึงปลายทางเดิน เขาจึงเปลี่ยนมาใช้แสงจากโทรศัพท์ที่ส่องได้ไกลกว่า ด้านซ้ายมือเป็นทางเดินยาวประมาณสิบเมตรแต่เป็นทางตัน ส่วนด้านขวามือเป็นทางเดินที่ยาวกว่าและมีประตูบนผนังทั้งซ้ายขวา

          บัญชาเลือกที่จะเลี้ยวขวา แต่ก่อนที่จะเลี้ยว เขาใช้มีดขูดแผ่นหินก้อนหนึ่งเป็นลูกศรเอาไว้ว่าเลี้ยวไปทางไหน เมื่อเดินไปถึงประตูแรก บัญชาก็พบแท่นวางคบเพลิงที่ยึดติดกับวงกบประตูคล้ายกับที่เห็นในจุดเริ่มต้นของดันเจี้ยน แต่ประตูนี้เป็นประตูไม้ปิดสนิท ไม่ใช่ประตูหิน เขาออกแรงดันแต่ประตูก็ไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย บานประตูไม่มีห่วงหรือมือจับให้ดึงเสียด้วย

          “หรือว่า…” บัญชาคิดถึงความเป็นไปได้ เขายื่นคบเพลิงในมือไปต่อไฟ ทันทีที่คบเพลิงบนผนังติดไฟ ประตูที่ปิดไว้อย่างแน่นหนาก็เลื่อนหายไปในพื้นหิน บัญชาได้แต่คิดว่า นี่เป็นประตูเลื่อนหรอกหรือ

          เขาค่อย ๆ ยื่นหน้าผ่านประตูเข้าไป ใช้คบเพลิงส่องดูภายในห้องด้วยความระมัดระวังและรอบคอบ ห้องสี่เหลี่ยมนี้กว้างประมาณครึ่งหนึ่งของห้องเรียนที่บัญชาใช้เรียน ในห้องมีชั้นไม้ขนาดเท่าชั้นหนังสือในห้องสมุดแต่แคบกว่าตั้งอยู่มุมหนึ่ง มีโต๊ะไม้สร้างขึ้นหยาบ ๆ เก้าอี้ไม้ที่มีสี่ขาแบบไม่มีพนักพิงวางอยู่รอบโต๊ะ อีกมุมหนึ่งของห้องมีไหดินเผาวางเรียงกันอยู่หกใบ

          สิ่งที่น่าสนใจที่สุดก็คือหีบไม้ซึ่งมีกุญแจแบบโบราณล็อกไว้ตรงมุมหนึ่งของห้อง

          ถ้านี่เป็นเกม บัญชาคงพุ่งตรงไปสำรวจหีบไม้ ล้มชั้นวางของแล้วทุบไหทั้งหมด แต่ที่นี่ไม่ใช่เกม ทำให้ความเครียดของเขาพุ่งทะลุเพดาน ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยอันตราย ไม่ว่าจะทำอะไรเขาต้องมีสติและระมัดระวังอย่างยิ่งยวด

          เริ่มจากไหก่อน บัญชาโยนเนื้อหนูชิ้นหนึ่งนำทางสำรวจกับดักไปจนถึงมุมห้องอย่างระมัดระวัง เขาใช้กล้องโทรศัพท์ยื่นไปเหนือไหและถ่ายรูปในไหทีละใบ ตรวจสอบดูว่าไหเหล่านั้นมีอันตรายจากสัตว์มีพิษหรือกับดักอะไรซ่อนอยู่หรือไม่

          ใช้เวลาประมาณห้านาทีจึงสำรวจไหจนครบทั้งหกใบ ในไหมีแต่ความว่างเปล่า น่าประหลาดที่บัญชารู้สึกโล่งใจมาก กว่าเสียดาย บนชั้นไม้ไม่มีของอะไร เช่นเดียวกับโต๊ะและเก้าอี้ เหลือแต่หีบไม้ที่น่าสงสัยหีบนั้น

          หีบเช่นนี้ไม่มีให้เห็นแล้วในยุคปัจจุบันที่เฟอร์นิเจอร์ส่วนใหญ่ทำจากพลาสติกหรือไม้อัดแทบทั้งหมด ถ้าไม่ใช่คนที่ชอบสะสมหรือมีรสนิยมพิเศษเฉพาะตัว หีบไม้เช่นนี้แทบจะหาดูตามบ้านเรือนไม่ได้เลย

          ตัวหีบไม้สร้างขึ้นจากไม้เนื้อแข็งสีเข้มแผ่นเดียวทุกด้าน ตัวไม้เก่าแต่แกร่งเช่นเดียวกับชั้นวางของ โต๊ะ และเก้าอี้ในห้อง บานพับโลหะรมดำตีแนบไปกับมุมหีบจากขอบด้านหนึ่งไปถึงอีกด้านหนึ่ง กุญแจเป็นแบบคล้องห่วงด้านหน้า แม่กุญแจมีขนาดเท่านิ้วก้อย ตัวแม่กุญแจแบบมีรูกุญแจให้สอดลูกทางด้านหน้า ช่องสอดลูกกุญแจมีขนาดใหญ่แบบกุญแจโบราณที่ยังไม่มีการพัฒนามากนัก

          บัญชาสำรวจของที่มีติดตัวทั้งหมดก็ไม่พบอะไรที่ใช้เปิดหีบไม้ใบนี้ได้ เว้นแต่เขาจะใช้ไฟเผาซึ่งอาจจะทำให้สิ่งของภายในเสียหาย เขาลองขยับหีบดูพบว่าหีบนั้นหนักประมาณข้าวสารถุงเล็กสองถุงหรือประมาณสิบกิโลกรัม เมื่อยกหีบเอียงไปมาจะได้ยินเสียงของแข็งกระทบด้านในหีบแสดงว่าจะต้องมีของบางสิ่งอยู่ภายในแน่นอน

          ไม่ได้ก็ไม่ได้

          บัญชาปล่อยหีบไว้ที่เดิมแลว้ เดินไปสำรวจอีกห้องหนึ่งที่อยู่ตรงกันข้าม ห้องนี้ต่างออกไป เขาสามารถเปิดประตูห้องได้โดยที่ไม่มีปัญหา ภายในห้องมีไห ตู้ไม้ ชั้นวางของ โต๊ะ และเก้าอี้

          ในตู้ไม้มีผ้าเก่าเป็นขุยพับเก็บไว้ บนชั้นไม้วางของไม่มีอะไร แต่หลังจากสำรวจไหในห้องนี้อย่างละเอียด บัญชาก็พบลูกกุญแจดอกหนึ่งตามรูปแบบของการเล่นเกมแล้ว ลูกกุญแจดอกนี้จะต้องเปิดหีบที่อยู่ในอีกห้องหนึ่งได้อย่างแน่นอน

          บัญชาเข้าใจว่าเขาเข้าห้องผิดลำดับ ความจริงแล้วเขาต้องสำรวจห้องนี้ก่อน พบกุญแจแล้วจึงหาทางเปิดอีกห้องหนึ่งซึ่งต้องจุดคบเพลิงเพื่อเปิดประตู แต่การเจอหีบก่อนแล้วเจอกุญแจภายหลังก็เกิดขึ้นได้บ่อยในเกมบัญชาจึงไม่รู้สึกหัวเสียแต่อย่างใด เขาเดินกลับไปยังห้องแรกและทดลองใช้ลูกกุญแจเปิดหีบไม้ใบนั้นทันทีอย่างระมัดระวังเต็มที่

          การไขกุญแจต้องใช้แรงมากกว่าปกติอยู่บ้าง เพราะกลไกภายในแม่กุญแจมีขนาดใหญ่กว่ากุญแจที่บัญชาคุ้นเคย ภายในหีบไม้บรรจุดาบสั้นหนึ่งเล่ม ปลอกดาบเป็นไม้เนื้อแข็งทาทับด้วยยางไม้สีเข้ม ต้นและปลายปลอกพันไว้ด้วยลวดทองเหลืองเงาวาว ดูเรียบง่ายแต่หรูหรา ด้ามดาบเป็นไม้ชนิดเดียวกับปลอกดาบ หัวด้ามดาบพันลวดทองเหลืองไว้เช่นเดียวกันภายนอกมีแต่โกร่งดาบที่เป็นโลหะสีเข้ม

          บัญชาชักดาบสั้นออกจากฝัก ตัวดาบสะท้อนแสงจากคบเพลิงเป็นประกาย เงาวาวไม่ต่างจากกระจกเลยทีเดียว

          เด็กหนุ่มระบายลมหายใจยาว เขาทดลองกวัดแกว่งดาบไปมาจินตนาการถึงการฟันเหล่าหนูตัวใหญ่เมื่อสักครู่ พบว่าดาบลักษณะนี้ใช้ต่อสู้ได้ดีกว่ามีดทำครัวของเขามากอย่างเทียบกันไม่ได้ความมั่นใจเกิดขึ้นในตัวบัญชา ถ้าต้องเจอกับหนูพวกนั้นอีก เขาแน่ใจว่าจะออกมือออกไม้ได้ดีกว่าเดิม

          เมื่อมีความมั่นใจเพิ่มมากขึ้น บัญชาก็สำรวจดันเจี้ยนต่อไป เขาพบห้องลักษณะเดียวกันนี้อีกสามห้อง แต่ละห้องมีตู้ โต๊ะ ไห และชั้นไม้เหมือนกันแต่ไม่มีสิ่งของอื่นที่มีค่า เขาเดินมาถึงประตูบานใหญ่สุดทางเดินซึ่งแตกต่างจากประตูอื่น ๆ วัดด้วยสายตาแล้วน่าจะมีขนาดเท่ากับประตูที่เคยพบสองบานต่อกัน ถ้าจะไปต่อ เขาก็ต้องเปิดประตูบานนี้ให้ได้

          บริเวณวงกบมีตะเกียงนํ้ามันแบบโบราณติดไว้สิบดวง ตัวตะเกียงเป็นถ้วยโลหะเล็ก ๆ เหมือนถ้วยวางเครื่องเซ่นในศาลจีน นอกจากตะเกียงสามดวงที่ยังมีไฟติดอยู่แล้ว ดวงที่เหลือล้วนดับสนิท

          บัญชาทดลองผลักประตู แต่ประตูปิดแน่นเหมือนถูกเชื่อมติดเอาไว้ไม่ต่างจากประตูบานที่ต้องจุดไฟเปิด เขาทดลองจุดไฟบนตะเกียง คิดว่าประตูนี้อาจจะมีกลไกแบบเดียวกัน แต่ตะเกียงที่ไส้แช่อยู่ในนํ้ามันติดไฟเพียงไม่กี่วินาทีแล้วก็ดับลง ทำให้บัญชาต้องคิดทบทวนถึงความเป็นไปได้อื่น ๆ เขาทดลองเป่าตะเกียงที่ติดไฟอยู่ให้ดับ แต่ตะเกียงทั้งสามดวงก็ลุกขึ้นมาใหม่หลังจากนั้นเพียงไม่กี่วินาที

          ดวงไฟเหล่านี้อาจจะหมายถึงมอนสเตอร์ในดันเจี้ยนแห่งนี้ เขาต้องกำจัดมอนสเตอร์ในดันเจี้ยนชั้นนี้ให้หมดจึงจะเปิดประตูได้ นี่เป็นรูปแบบที่เห็นได้บ่อยในเกมสำรวจดันเจี้ยนทั่วไป

          เมื่อคิดได้เช่นนั้นแล้ว บัญชาก็เดินย้อนกลับไปยังทางที่เขาจากมาจนถึงทางแยกแรกที่เขาตัดสินใจเลี้ยวขวา เขาเดินไปในทางที่เป็นทางตันและได้พบกับหนูอีกสามตัวหลบอยู่ตรงมุมทางเดิน ด้วยดาบซึ่งเป็นอาวุธใหม่ในมือ บัญชาจัดการหนูทั้งสามตัวได้อย่างรวดเร็ว เขาได้หนังและเนื้อหนูอีกสองชิ้นเป็นรางวัล

          บัญชาเดินย้อนกลับไปยังประตูใหญ่เพื่อดูผล ตะเกียงทั้งหมดดับลงแล้ว และเมื่อเขาสัมผัสบานประตู ประตูก็เลื่อนออกไปข้าง ๆ ส่งเสียงครืนเหมือนฟ้าร้องเบา ๆ

          ในห้องมีแสงสว่างจากแท่นไฟตั้งพื้นทั้งสี่มุม ขวามือเป็นบันไดหินขึ้นไปชั้นบน ซ้ายมือเป็นบันไดแบบเดียวกันทอดลงไปด้านล่าง สุดปลายบันไดเป็นประตู

          เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นทำให้บัญชาสะดุ้ง เขารีบกดรับสายโดยไว

          [ยินดีด้วยค่ะ คุณบัญชาเคลียร์ดันเจี้ยนชั้นแรกโดยที่ไม่ตาย ไม่ทำให้ผลึกชีวิตต้องเสียเปล่า แต่นี่เป็นชั้นที่สอนเชิงเท่านั้นนะคะ ชั้นต่อ ๆ ไปจะไม่ง่ายเหมือนชั้นนี้แล้ว คุณบัญชาสามารถเลือกได้ว่าจะขึ้นหรือลงบันไดหรือจะขึ้นแล้วลงก็ได้ค่ะ ไม่มีปัญหาอะไร]

          “ขอโทษครับ ของในดันเจี้ยนนี่ผมเอาไปได้หมดเลยใช่ไหมครับ” บัญชาถาม

          [ใช่แล้วค่ะ คุณบัญชาสามารถหยิบสิ่งของต่าง ๆ ในดันเจี้ยนไปได้ตามใจชอบเลย คุณสามารถนำของกลับไปโลกตัวเองได้ด้วยการขนไปที่ห้องเซฟ จากนั้นโทรออกมาที่เบอร์นี้ ของทั้งหมดที่อยู่ในห้องเซฟจะถูกส่งกลับไปพร้อมกับตัวคุณบัญชาค่ะ อ้อ… อีกเรื่องที่สำคัญ คุณบัญชาจะโทรเข้าเบอร์นี้ได้เฉพาะวันเสาร์และเดินทางได้สัปดาห์ละครั้งเท่านั้น คุณบัญชาจะถูกส่งกลับไปที่โลกในเวลาหกสิบวินาทีหลังจากเดินทางมาที่ดันเจี้ยนนี้ค่ะ วันนี้เป็นวันแรกดิฉันจึงยกให้เป็นกรณีพิเศษค่ะ]

          “หมายความว่าถ้าผมกลับไปตอนนี้ ผมจะมาได้อีกทีก็คือวันเสาร์หน้าใช่ไหมครับ”

          [ปิ๊งป่อง ใช่แล้วค่ะ ขอให้โชคดีนะคะ น่าเสียดายที่ชั้นแรกไม่มีของที่มีค่าอะไร แต่ถ้าคุณบัญชาขยัน ดิฉันการันตีว่าจะต้องมีของดี ๆ ที่คุณบัญชาต้องการแน่นอนค่ะ] ปลายสายพูดจบแล้วก็วางสายไป

          บัญชาเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋า ทำไมจะไม่มีของดี ๆ เฉพาะตู้เก็บของที่ทำจากไม้เนื้อแข็งสองตู้ก็ขายได้อย่างน้อยตู้ละห้าพันบาทแล้ว ถ้ารวมชั้นวางของและโต๊ะเก้าอี้ด้วย อย่างน้อยก็ทำเงินได้ไม่ตํ่ากว่าห้าหมื่นบาทเพียงพอสำหรับการตั้งตัวหลังจากไฟไหม้บ้านเลยทีเดียว

          คิดได้แล้วบัญชาก็เดินกลับไป เขาต้องนำตู้ไปวางทับกับดักเหล็กเอาไว้เพื่อที่จะขนของไปยังห้องเซฟได้โดยไม่มีรูบนร่างกายเพิ่มขึ้น

          บัญชากลับมาถึงห้องตัวเองพร้อมกับชั้นไม้วางของสี่ชั้น ตู้เก็บของสองตู้ และหีบไม้ที่เขาคิดว่าน่าจะขายได้หลายบาท

          เวลาผ่านไปเพียงหนึ่งนาทีอย่างที่หญิงสาวปลายสายบอก แต่ตอนนี้บัญชาเหนื่อยล้าจนทำอะไรไม่ไหวแล้ว เขาจึงตรงไปอาบนํ้าและล้มตัวลงนอนโดยวางของเอาไว้ที่ปลายเตียง พรุ่งนี้เป็นวันอาทิตย์ ซึ่งเขาจะมีเวลาว่างทั้งวันในการจัดการสิ่งต่าง ๆ

          ก่อนนอนบัญชาได้เก็บเนื้อและหนังของหนูดันเจี้ยนเข้าตู้เย็นเพื่อป้องกันไม่ให้บูดเน่า เขาตั้งใจว่าจะขุดหลุมฝังทั้งเนื้อและหนังในภายหลังเพระายังไม่จนตรอกขนาดต้องกินเนื้อหนู หนังหนูก็ไม่ทราบว่าจะเอาไปใช้ประโยชน์อย่างไร ส่วนดาบถูกเก็บซ่อนไว้ใต้ฟูกที่นอน

          เช้าวันต่อมาบัญชาก็พิจารณาตู้ไม้ที่ได้มาจากดันเจี้ยน เมื่ออยู่ใต้แสงไฟในห้องอันสว่างจ้า เขาก็ได้เห็นว่าตู้ไม้นั้นมีฝุ่นจับแน่น ถ้านำไปขายทั้งอย่างนี้คงจะตั้งราคาได้ไม่มากเท่าที่ควร เขาจึงลากตู้หนักอึ้งลงบันไดมาหลังหอพักอย่างทุลักทุเล แขนขายังปวดเมื่อยจากการสะบัดมีดและฟันดาบเมื่อคืน แต่ก็มีแรงพอที่จะทำเรื่องเหล่านี้ได้จนเสร็จเรียบร้อย เขาใช้ผ้าชุบนํ้าเช็ดฝุ่นจนตู้สีเข้มกลับมาเป็นเงาวาวอีกครั้ง บัญชาพบว่าตู้และชั้นไม้ถูกสร้างขึ้นอย่างดี รอยต่อปิดสนิท ไม่มีช่องว่างระหว่างบานพับ

          “ตู้นี้น่าจะได้ประมาณห้าพันเป็นอย่างน้อย” บัญชาพึมพำ

          “อะไรห้าพันเหรอบัญชา” เสียงอาจารย์ดรุณีดังขึ้นจากด้านหลัง

          อาจารย์ดรุณีเป็นอาจารย์แนะแนวแสนใจดีประจำโรงเรียน นอกจากเสียงพูดอันนิ่มนวลไพเราะแล้ว หน้าตาก็ทำให้เธอเป็นอาจารย์ยอดนิยมของทั้งนักเรียนชายและหญิงทุกชั้นเรียน ใบหน้าเรียวสมส่วน ตาโตเป็นประกาย ผิวขาวไร้ริ้วรอยดูผ่าน ๆ แล้วเธอดูเหมือนรุ่นพี่ที่เป็นนักศึกษามากกว่าอาจารย์บรรจุประจำ

          “ราคาตู้ใบนี้น่ะครับ มีคนรู้จักให้ผมมา หลังจากที่รู้ข่าวบ้านผมไฟไหม้น่ะครับ” บัญชาโกหกอย่างลื่นไหล เขาอาจไม่มีเพื่อนแต่ก็คุ้นเคยกับการพูดคุยกับผู้ใหญ่ จึงไม่แสดงพิรุธใด ๆ

          “จะขายเหรอ” อาจารย์ดรุณีเดินมาดูตู้ใกล้ ๆ เธอหิ้วถุงพลาสติกใบใหญ่มาด้วย

          “ครับ ตอนนี้ผมคิดว่ามีเงินติดตัวไว้น่าจะดีกว่ามีของที่ไม่ได้ใช้ครับ”

          “แล้วคนที่ให้มาเขาไม่ว่าเหรอ” อาจารย์สาวใช้ข้อนิ้วเคาะฟังเสียงตู้ไม้และทดลองจับตู้โยกไปมา

          “ไม่ว่าครับ เขาบอกว่าเอาไปทำอะไรก็ได้ ยังไงเขาก็ไม่ได้ใช้อยู่ดี”

          “ครูว่าน่าจะขายสักเจ็ดพันนะ ตู้ไม้เนื้อแข็งแบบนี้หายากแล้ว ดูสิฝาตู้เป็นไม้แผ่นเดียวไม่มีรอยต่อเลย”

          บัญชามองตามนิ้วเรียว ๆ ของอาจารย์ดรุณีที่ไล่ลายไม้บนประตูตู้ให้ดู แม้จะเห็นเพียงเลือนราง แต่ลายไม้บนบานประตูตู้ก็ต่อเนื่องกันเป็นหนึ่งเดียวจริง ๆ

          “อาจารย์ รู้เรื่องพวกนี้ด้วยเหรอครับ” บัญชาถามดว้ ยความประหลาดใจ

          “ลุงครูเป็นพ่อค้าของเก่าน่ะ ตอนเด็ก ๆ ครูไปเล่นบ้านลุงบ่อย ๆแล้วท่านก็สอนเรื่องการดูของเก่าให้ แต่ครูจำไม่ค่อยได้หรอก ตอนนั้นครูยังเด็ก แถมมันก็นานแล้วด้วย”

          อาจารย์ดรุณียืนมองตู้และใช้ความคิด เธอเหลือบมองบัญชาแวบหนึ่งแล้วจึงพูดขึ้น

          “ครูขอซื้อเองก็แล้วกัน เธอจะขายห้าพันใช่ไหม ครูซื้อเจ็ดพัน”

          บัญชาเลิกคิ้วเพราะไม่คิดว่าของจะขายได้เร็วเช่นนี้

          “เอาจริง ๆ เหรอครับ”

          “อืม ครูจะซื้อไปฝากลุง ลุงจะได้เอาไปขายต่อ ไม่ต้องขนไปขายให้เสียเวลาด้วย เดี๋ยวครูเอารถมาขนเอง”

          บัญชากะพริบตาปริบ ๆ

          “เอาแบบนั้นก็ได้ครับ”

          อาจารย์ดรุณีหัวเราะ

          “วันนี้ครูเอาของดีมาให้ด้วยนะ เธอนี่ก็จริง ๆ เลย ไม่คิดจะไปดูที่บ้านหน่อยเหรอว่ามีอะไรเหลือบ้าง”

          ดรุณียื่นถุงพลาสติกให้บัญชา เมื่อเปิดดูในถุง บัญชาก็พบเอกสารสำคัญต่าง ๆ ที่เขาคิดว่าคงจะไหม้เป็นเถ้าไปหมดแล้ว เขาตั้งใจว่าจะไปทำเอกสารพวกนี้ใหม่เมื่อมีเวลา

          “พนักงานดับเพลิงบอกว่ามุมห้องที่วางกล่องใส่เอกสารเป็นจุดเดียวที่ไฟไหม้ไปไม่ถึง ถือว่าเป็นโชคดีในโชคร้าย             แต่ของอย่างอื่นในบ้านก็ไหม้หมดไม่มีเหลือละนะ” ดรุณีเดินนำมานั่งลงบนเก้าอี้ที่ตั้งล้อมโต๊ะคอนกรีตหลังหอพัก ซึ่งก็อยู่ห่างจากจุดที่บัญชาทำความสะอาดตู้ไม่กี่เมตร

          “ขอบคุณครับ อาจารย์ดรุณี” บัญชายกมือไหว้ เขาซาบซึ้งมากที่อาจารย์ดรุณีนำเอกสารมาให้ มันทำให้เขาไม่ต้องเผชิญเรื่องปวดหัวหลายเรื่องหลายวันติด ๆ กัน

          “ไม่เป็นไร มันเป็นหน้าที่ครูอยู่แล้ว ลูกศิษย์บ้านไฟไหม้แถมยังกำพร้าอีก ครูจะอยู่เฉยได้ยังไง”

          เมื่อได้ยินคำว่ากำพร้าบัญชาก็เกาศีรษะแกรก ๆ หันหน้ามองไปทางอื่นเหมือนไม่อยากจะพูดถึงมัน

          “ไม่ต้องมาทำหน้าเซ็งเลยนะ นายบัญชา เธออาจจะแสดงละครไล่ครูคนอื่นได้ แต่ครูเป็นครูแนะแนว ยังไงก็ต้องยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด คิดว่าครูจะเกรงใจทำเป็นเออออไปกับเธอหรือไง”

          บัญชาถอนหายใจ เขามักจะแสดงอาการเช่นนี้เวลาที่อาจารย์ท่านอื่น ๆ ยกเรื่องความเป็นเด็กกำพร้าตัวคนเดียวมาพูด เมื่ออาจารย์เหล่านั้นเห็นอาการของเขาก็จะเปลี่ยนหัวข้อการพูดคุย เพราะไม่อยากทำให้เขาไม่สบายใจ แต่ดูเหมือนวิธีการนี้จะใช้ไม่ได้ผลกับอาจารย์ดรุณี

          “ผมดูแลตัวเองได้ครับ” บัญชาพูดตัดบท

          “ครูรู้ว่าเธอดูแลตัวเองได้ ครูเป็นครูมาหลายปี เห็นมีแต่เธอนี่แหละที่จัดการงานเอกสารเองทุกอย่างจนเข้าเรียนมอสี่ที่นี่ได้เรียบร้อย แต่ครูต้องรู้ว่าเธอเอาตัวรอดมายังไงบ้าง อย่าคิดว่าตัวเองสามารถทำเรื่องที่เด็กคนอื่นทำไม่ได้แล้วตัวเองจะเป็นผู้ใหญ่ แค่รู้จักคิดนิดหน่อยไม่ทำให้เธอกลายเป็นผู้ใหญ่หรอกนะ”

          บัญชาขมวดคิ้วแสดงอาการไม่พอใจ แต่สีหน้าจริงจังของอาจารย์ดรุณีทำให้เขาต้องอ่อนลง เขาอยู่ใกล้ชิดกับพวกผู้ใหญ่มากเกินไป จนดูออกว่าหญิงสาวตรงหน้าเป็นห่วงเขาอย่างแท้จริงไม่ได้เสแสร้ง

          “ครับ”

          “ดี ทำตัวให้สมกับเป็นเด็กอายุสิบหกหน่อยเถอะ” อาจารย์ดรุณีบ่นพลางจัดการวางเอกสารต่าง ๆ ลงบนโต๊ะเพื่อตรวจสอบดูความเรียบร้อย

          “เธอได้รับมรดกทั้งหมดจากพ่อเธอตั้งแต่เรียนอยู่มอสามเหรอ”

          “ครับ พ่อมีผมเป็นครอบครัวคนเดียว ไม่มีญาติที่ไหนอีกนอกจากแม่กับน้องสาว พ่อกับแม่หย่ากันตอนผมเรียนอยู่ปอห้า น้องสาวผมไปอยู่กับแม่ส่วนผมอยู่กับพ่อ พอพ่อผมเสียด้วยอุบัติเหตุตอนมอสาม ผมก็ได้รับมรดกจากพ่อทั้งหมด เป็นที่ดินกับบ้านแล้วก็เงินสดในธนาคารจำนวนหนึ่ง ญาติทางฝ่ายแม่พยายามเสนอตัวเข้ามาเป็นผู้จัดการมรดกให้ เพราะอยากได้ส่วนแบ่งจากสมบัติของพ่อ แต่พินัยกรรมของพ่อระบุไว้ชัดเจน ผมเลยได้ทรัพย์สมบัติของพ่อมาทั้งหมด แต่ผมยังไม่บรรลุนิติภาวะเลยทำธุรกรรมซื้อขายอะไรไม่ได้ ทุกวันนี้ผมอยู่ด้วยเงินที่พ่อเก็บไว้ในธนาคาร จริง ๆ ก็ไม่มาก แต่พอเป็นค่าใช้จ่ายได้จนเรียนจบมหาวิทยาลัย ถ้าผมไม่ฟุ่มเฟือย”

          ดรุณีมองเด็กหนุ่มอายุสิบหกปีตรงหน้า เธอตรวจสอบเอกสารทั้งหมดและได้เห็นร่องรอยของเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิตของบัญชา เธอเดาว่าการที่ต้องรับผิดชอบตัวเองตั้งแต่อายุยังน้อย ทำให้บัญชาดูแปลกแยกจากเพื่อน ๆ ในห้องจนถึงขั้นแทบจะไม่คุยกับใครเลย

          “แล้วเธอวางแผนชีวิตไว้ยังไงบ้าง เธออยู่ตัวคนเดียวยังไงล่ะนี่ ดูจากเอกสารที่เธอใช้สมัครเรียน เธอมีทนายประจำตัวพ่อเป็นผู้ปกครองใช่ไหม” ดรุณีเก็บเอกสารใส่ถุงพลาสติกหลังตรวจสอบอย่างละเอียดแล้วว่าไม่มีปัญหาใด ๆ

          “เรียนให้จบมอปลาย ถ้าสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ติดก็เรียนโรงเรียนวิชาชีพในตัวจังหวัด ทำงานเก็บเงินสร้างบ้านใหม่บนที่ดินของผมเอง ถ้ารอไม่ไหวอาจจะขายที่ดินออกไปส่วนหนึ่ง เป็นที่ติดทางหลวงน่าจะขายได้ราคาสูงอยู่ จากนั้นก็เอาเงินมาสร้างบ้าน หางานทำแถวนี้ แล้วก็ใชชี้วิตไปเรื่อย ๆ” บัญชาพูดโดยไม่มองตาดรุณี

          “แค่นั้น ? แล้วเป้าหมายในชีวิตล่ะ ความหวัง ? ความฝัน ? สิ่งที่ต้องการในชีวิต ?”

          บัญชาสบตากับดรุณี

          “ของแบบนั้นมีไว้ให้คนที่ไม่ต้องคิดเรื่องเลี้ยงปากเลี้ยงท้องเท่านั้นแหละครับ”

          “มืดมนเหลือเกิน” อาจารย์ดรุณีขมวดคิ้วแล้วหัวเราะ “มองโลกแต่ด้านเดียวมันก็เห็นแต่สีเทา ๆ เท่านั้นแหละ ชีวิตคนเรามีอะไรมากกว่าแค่การมีชีวิตอยู่นะ ต่อให้เป็นเวลาที่ต้องดิ้นรนก็เถอะ ความหวัง ความฝัน มันก็สมควรมีบ้าง โลกจะได้มีสีสัน ไม่งั้นเดินไปไม่ถึงไหนก็คงเฉาตายก่อน”

          บัญชาขมวดคิ้วบ้าง เขาไม่เคยเห็นว่ามีสิ่งใดในชีวิตที่มีค่าคู่ควรแก่การไล่ตามมาก่อน แต่เขาเห็นว่าการอยู่ไปวัน ๆ ก็ไม่เห็นจะเสียหายอะไร เว้นแต่ช่วงนี้ที่มีอะไรให้ระทึกใจอย่างการกระโดดหลบกับดักในดันเจี้ยนต่างมิติ

          “เอาเถอะ ยังมีเวลาอีกสองปีกว่า เธออาจจะคิดสนใจอะไรเพิ่มขึ้นมาบ้างก็ได้ เดี๋ยวครูจะช่วยคิดด้วย ตอนนี้เอาตัวให้รอดก่อนก็แล้วกัน แล้วตู้กับชั้นวางของพวกนั้นจะขายยังไง” ดรุณีชี้นิ้วไปยังตู้และชั้นที่ยังไม่ได้ทำความสะอาด

          “เดี๋ยวผมจะเบิกเงินจากธนาคารมาจ้างรถขนไปขายในตัวจังหวัดครับ ผมรู้จักกับเจ้าของตลาดแบกะดินตั้งแต่สมัยที่พ่อผมยังขายของอยู่ที่นั่น เดี๋ยวผมไปขอเช่าล็อกขายของเอา ตู้ไม้แบบนี้ถ้าขายไม่แพงมากน่าจะขายออกไม่ยากครับ”

          ดรุณีมองดูตู้ไม้ที่เพิ่งจะซื้อจากนักเรียนอีกครั้ง

          “วันนี้วันอาทิตย์ เธอคงทำอะไรไม่ทันแล้ว กว่าจะขายได้ก็คือเสาร์ อาทิตย์หน้าใช่ไหม”

          “ครับ” บัญชาตอบ

          “งั้นเดี๋ยววันนี้ครูเอารถมาขนตูใ้ บนี้เลย พอเอาไปใหลุ้งแลว้ ครูจะลองถามดูว่าลุงอยากได้ตู้อื่นด้วยไหม ถ้าเป็นของดี บางทีลุงของครูอาจจะรับไปขายต่อทั้งหมดเลยก็ได้”

          “ครับ” บัญชาไม่ทราบว่าจะปฏิเสธไปเพื่ออะไร

          อาจารย์ดรุณีสอบถามเกี่ยวกับชีวิตประจำวันของบัญชาอีกพอสมควร ส่วนใหญ่ก็ถามเพื่อที่จะช่วยเหลือให้เขาใช้ชีวิตในหอพักได้อย่างไม่ลำบากเกินไป อาจารย์สาวสอบถามว่าเขาต้องการอะไรเพิ่มเติมสำหรับการย้ายเข้ามาอยู่ในหอพักบ้าง บัญชาไล่รายการของที่ใช้การไม่ได้ อย่างหม้อหุงข้าวไฟฟ้าที่สายผุหมดแล้ว หลอดไฟที่เปิดไม่ติด และของใช้ในชีวิตประจำวันอีกหลายอย่าง โดยเฉพาะเสื้อผ้าและชุดนักเรียนที่อาจารย์รับปากว่าจะช่วยหามาให้

<== บทที่ 1 
กลับหน้าหลัก

[catlist name="dungeon-runner-ไขปริศนาผ่าดันเจี้ยน" numberposts=0]