1168 PUBLISHING
The Dark Elf เอลฟ์มืดพันธุ์แสบอ่านนิยาย

The Dark Elf  | บทที่ 1 : ดาร์กเอลฟ์ ใช่ว่าจะเป็น ‘ไอ้เอลฟ์มืด’ ไปเสียทุกตน  

1

ดาร์กเอลฟ์ ใช่ว่าจะเป็น ‘ไอ้เอลฟ์มืด’ ไปเสียทุกตน

 

     มีคำกล่าวมาช้านานว่า…

     ‘เอลฟ์สว่างนั้นสว่างไสวยิ่งกว่าแสงของพระอาทิตย์ เอลฟ์มืดนั้นมืดสนิทราวกับก้นบึ้งของเหวลึก’

     คำกล่าวนั้นเห็นท่าจะเป็นจริงสำหรับข้า…

     ตัวข้านี่สิ ไม่รู้ทำไมถึงได้บอดสนิทเหมือนดวงตาของแม่ข้าไม่มีผิด

     ไม่ใช่เพราะสีผิวของข้าเป็นสีดำหรอกนะ เอลฟ์ทุกตนเมื่อขึ้นชื่อว่าเอลฟ์แล้วก็มีผิวขาวกันทั้งนั้นแหละ เพียงแต่แทนที่ดาร์กเอลฟ์อย่างข้าจะขาวเจิดจรัสจนแสบลูกตาเหมือนอย่างพวกไลต์เอลฟ์ทั่วไป ผิวสีออกขาว ๆ ของข้ากลับไม่เปล่งแสงใดออกมาเลยแม้สักนิดเดียว มันซีดเซียวเหมือนซากตัวอ่อนของพวกหนอน

     พูดไปก็เหมือนข้าจะดูถูกตัวเอง…

     ไม่จริง ! ข้าภูมิใจจะตายชักที่ผิวพรรณของข้าไม่ส่องแสงสว่างออกมาเลย

     ข้าว่ามันเท่ดีที่ไม่มีแสงใดเปล่งออกจากตัว พูดก็พูดเถอะ ขนาดพวกดาร์กเอลฟ์ด้วยกันยังพอมีแสงเรือง ๆ ที่ผิวบ้างถึงจะน้อยนิดก็ตาม แต่ตัวข้านี่สิไม่มีแสงใดเลย ขนาดอยู่ใต้แสงแดดยังไม่สะท้อนแสงเลยสักนิด ไม่มีแม้แสงเท่าก้นหิ่งห้อย ใคร ๆ จึงพากันมองไม่เห็นข้า

     นั่นถือเป็นข้อดีนะ… ดีอย่างไรน่ะหรือ เวลาข้าอยากอยู่ท่ามกลางฝูงชนแบบไม่ให้ใครสนใจข้า หรือการแอบทำอะไรก็ตามที่ไม่อยากให้ใครมองเห็นเท่าไร เช่น หลับในห้องเรียน หรือตบหัวไอ้พวกที่ชอบกวนประสาทแม่ข้า และประเด็นสำคัญคือ ข้าคิดว่าผิวที่ซีด ๆ ไร้แสงของข้ามันเท่ไม่เหมือนใครดีต่างหาก ชอบก็ตรงนี้แหละ

     ยิ่งข้าเกลียดพวกไลต์เอลฟ์เข้าไส้ยิ่งไม่ชอบให้ผิวตัวเองมีแสง แม้ข้าจะถูกมองว่าเป็นพวกอุกกาบาต อับแสงยิ่งว่าดาวเคราะห์ อย่าหวังจะเปล่งประกายได้เองอย่างดาวฤกษ์เลย ไม่มีทาง ! ข้าก็แค่เอาส้นบาทายัดเข้าปากพวกมันก็เท่านั้น ใครจะสนใจกันล่ะ

     พูดถึงข้อดีของข้าบ้าง ขอเล่าเรื่องพละกำลังอันไม่เป็นรองใครในกลุ่มหนุ่ม ๆ ดาร์กเอลฟ์ด้วยกัน ข้านี่แหละที่อัดพวกดาร์กเอลฟ์รุ่นเล็กรุ่นใหญ่หมอบราบกราบแทบเท้ามาแล้วทั่วหล้า

     หึหึ เหมือนว่าข้าขี้โม้สินะ ! ขอบอกไว้ก่อนหากเจ้าไม่แน่พอก็อย่ามาท้าตีรันฟันแทงกับข้า พวกเจ้าไม่มีทางเอาชนะข้าได้หรอก ถึงข้าจะได้ฉายาจากพวกดาร์กเอลฟ์ห่วยแตกด้วยกันว่า ‘ไอ้เอลฟ์มืด’ ก็เถอะ แต่ไม่มีใครกล้าประมือกับข้าตรง ๆ เนื่องจากต่างรู้กิตติศัพท์ว่าข้ามีฝีมือต่อสู้เก่งกาจเหนือดาร์กเอลฟ์ทุกตน พรสวรรค์นี้ก็มากพอจะทดแทนแสงที่หายไปได้เป็นอย่างดี เพราะพวกดาร์กเอลฟ์ปกติจะไม่ถนัดต่อสู้เท่าไร ชอบอยู่สงบ ๆ มากกว่า ซึ่งนั่นผิดกับนิสัยข้าชัด ๆ

     เหตุนี้พวกดาร์กเอลฟ์ก็เลยไม่มีใครอยากเป็นมิตรกับข้าสักราย ดาร์กเอลฟ์ต่างรักสงบไม่ชอบต่อสู้ จะมีก็แต่เด็กหนุ่มรุ่น ๆ ไฟแรงเกิดถึงวัยคึกมาขอท้าดวลกับข้านาน ๆ ทีก็เท่านั้น เมื่อโดนอัดจนหายซ่าก็หายหน้าไปตามกัน บางรายโดนข้าต่อยหมัดเดียวเผ่นกลับบ้านไปฟ้องพ่อแม่มาด่าข้าให้แม่ข้าฟังลับหลังอีกต่างหาก ทีต่อหน้าข้าล่ะทำเป็นรูดซิปปิดปาก มันน่าสั่งสอนไหม

     หากจะหาว่าข้าชอบใช้ความรุนแรง ข้อนี้ก็อาจจะไม่จริงเสียทีเดียว ถ้าไม่มีพวกชอบมาหาเรื่องกับข้าก่อน ข้าไม่มีวันยกเท้าเตะก้านคอของใครหน้าไหนให้เมื่อยหรอก อีกอย่างข้ามันพวกขี้เกียจเกินจะลากสังขารมาตีเข่าใครหรือแหกขี้ตาตื่นไปลากคอใครมาเตะเล่น เสียเวลานอนกลางวันจะตายไป

     “โวนล์ ! เจ้าลูกไม่เอาถ่าน ไปมุดหัวอยู่ที่ไหน !”

     อะฮ่า นั่นเสียงแม่ข้าเอง เสียงนางไพเราะใช่ไหมล่ะ…

     ซะที่ไหนเล่า ! สวรรค์ ! เห็นแก่ท่านราชาเทพเฟรย์ที่เคารพของดาร์กเอลฟ์เถอะ นับวันข้าชักจะทนฟังคำบ่นของแม่ไม่ไหวขึ้นทุกทีแล้ว แต่น่าแปลกที่ใบหูแหลม ๆ ของข้าเหมือนจะวิวัฒนาการจนตึง ไม่สิ ! จนปรับตัวให้เข้ากับเสียงบ่นของแม่มากขึ้น ข้ามักผิวปากหรือไม่ก็เดินหนีไปที่อื่นให้พ้นสายตาแม่ เอ่อ… แม่ข้ามองไม่เห็นนี่นา เอาเป็นว่าไปให้พ้น ๆ จากรัศมีที่แม่ยืนบ่นข้าต่างหาก

     ขณะที่ทำท่ามุดหายเข้าไปในเงามืดของอุโมงค์แคบ ๆ เสียงแม่ก็พุ่งมาหยุดเท้าข้าไว้ทันที

     “โวนล์ ! แม่รู้ว่าเจ้าอยู่ตรงนั้น อย่าคิดมุดหัวหายไปไหนได้อีก”

     ข้ายืนตัวแข็งเป็นหุ่น ถึงตาแม่ข้าจะบอดสนิท แต่ประสาทหูไวยิ่งกว่านางเอเวนสาว ๆ ทั่วไปหลายเท่า เพียงแค่ข้าเผลอกระดิกหูทีเดียว แม่ข้ายังรู้เลยว่าข้ายืนอยู่ตรงไหน ในเมื่อหมดทางเลือกข้าจึงหันหลังเดินกลับไปหาแม่อย่างเบื่อหน่าย

     “จะบ่นอะไรข้าอีกล่ะแม่” ข้านั่งลงบนเตียงไม้ข้าง ๆ ซึ่งเป็นที่นอนเดียวของข้าใต้อุโมงค์สายนี้

     “โวนล์… แม่ขอเถอะนะ อย่าทำตัวลอยไปลอยมาไร้สาระอยู่อีกเลย เจ้าก็โตเป็นหนุ่มแล้ว เอลฟ์วัยเดียวกับเจ้าแต่งงานสร้างครอบครัวกันเกือบทั้งหมด ต่างก็มีอาชีพสบาย ๆ เบาแรงกันทั้งนั้น…”

     นั่นไง แม่ข้าเริ่มสวดข้าหนแรกของวัน ข้ากลอกตาไปมาอย่างเซ็งสุด ๆ โชคดีที่แม่ข้าตาบอดมองไม่เห็นท่าทางกวนประสาทของข้า แม่ได้แต่เดินเข้ามาลูบแขนลูบผมข้าอย่างเป็นกังวล

     “หากเจ้ายังดื้อทำอาชีพเสี่ยงอันตรายอย่างพวกล่าหนอนล่าแมลงอยู่อีก ชีวิตเจ้าอาจดับสูญสักวันหนึ่ง ถึงวันนั้นแล้วแม่จะอยู่กับใคร ใครจะดูแลแม่ที่ตาบอดของเจ้า”

     แม่เริ่มทำท่าสะอื้น รูปกายแม่ดูไม่แก่เช่นเดียวกับนางเอเวนทั่วไปที่ยังคงความสาว สวยวันสวยคืน ผมสีทองอมเหลืองของแม่พลิ้วไสว แม่ข้านี่สวยสุดยอดแต่ขี้บ่นไปหน่อยก็เท่านั้น หากพ่อข้ายังมีชีวิตป่านนี้ข้าคงจะมีน้องตามติดมาเป็นขบวน

     เอลฟ์และนางเอเวนหรือเอลฟ์เพศหญิงโดยทั่วไปก็มีสีผมสีออกทองบ้าง ขาวบ้าง เหลืองบ้างปะปนกันไปหลายเฉด ส่วนเอลฟ์เพศชายก็มีสีผมคล้ายคลึงกัน ไม่ค่อยจะมีสีผมใครผ่าเหล่าผ่ากอเท่าไร ทั้งดาร์กเอลฟ์และไลต์เอลฟ์ก็สีเฉดทำนองเดียวกัน เพียงแต่เส้นผมของพวกไลต์เอลฟ์เปล่งประกายเรืองรองมากกว่าดาร์กเอลฟ์อย่างข้าหลายสิบเท่า สีผมข้าแปลกกว่าเอลฟ์ทั่วไป เพราะมีสีทองซีด ๆ

     ว่าแต่เมื่อกี้แม่ข้าบ่นอะไรรึเปล่า ไม่ได้เข้าหูข้าเลยแฮะ ดีจริง ๆ น่าภาคภูมิใจกับความสามารถทำหูทวนลมของตัวเอง

     “โวนล์… เจ้าหัดฟังที่แม่พูดบ้างเถอะ หานางเอเวนสวย ๆ สักตนมาเป็นเมีย ให้นางคอยมาดูแลแม่ด้วย จะได้มาทำกับข้าว ทำความสะอาดบ้านช่องแทนแม่ยามแก่เฒ่า อีกอย่างแม่ก็อยากอุ้มหลานตัวน้อย ๆ ด้วย ยิ่งเจ้าหาเมียเป็นพวกไลต์เอลฟ์ได้ยิ่งดีใหญ่ หลานของแม่จะได้พอมีแสงออกจากตัวบ้าง ถึงแม่จะมองไม่เห็นก็เถอะ ว่าแต่เมื่อไรเจ้าจะเลิกล่าหนอนล่าแมลงแล้วหัดทำงานเบา ๆ อย่างพวกขัดรากไม้เสียที…”

     ว่าไงนะ ! นี่แม่จะให้ข้าหานางเอเวนมาแต่งงานและเลิกทำงานล่าหนอนล่าแมลงงั้นรึ

     หูข้าผึ่งขึ้นอย่างหงุดหงิด แย่จริง… ในที่สุดข้าก็เผลอตัวฟังแม่บ่นจนได้

     “ไม่ล่ะแม่” ข้าปฏิเสธเสียงแข็ง “ข้าชอบงานประเภทใช้กำลัง งานเบา ๆ อย่างขัดรากไม้กระจอกเกินไปสำหรับข้า”

     เรื่องอะไรจะให้ข้าเปลี่ยนงาน กว่าจะฝึกฝนความว่องไวและพละกำลังจนสามารถหั่นพวกหนอนตัวเท่าลูกวัวลูกควายออกเป็นแผ่น ๆ ได้ คิดว่ามันง่ายรึไง งานประเภทอ่อนปวกเปียกอย่างนั่งทำความสะอาดรากไม้ให้เงาวับไม่อยู่ในสายตาข้าหรอก อีกอย่างงานล่าหนอนล่าแมลงเป็นงานอันตราย แทบไม่มีดาร์กเอลฟ์ตนใดกล้าเสี่ยงกับงานนี้เลย ดังนั้นข้าจึงเป็นหนึ่งในดาร์กเอลฟ์ไม่ถึงสิบตนที่เลือกทำงานนี้

     ดาร์กเอลฟ์อย่างพวกข้าอาศัยอยู่ใต้ดินมาเป็นพัน ๆ ปี ฉะนั้นบ้านของพวกเราจึงสร้างอยู่ในอุโมงค์ใต้ดินที่ขุดขึ้น อุโมงค์ทั้งหลายเชื่อมต่อกันเป็นหลายสายราวกับรังมดปลวก แต่ด้วยความกว้างของอุโมงค์และเส้นทางคดเคี้ยว ย่อมมีรากไม้ของต้นไม้ใหญ่ ๆ จากบนพื้นดินชอนไชลงมาใต้ดินเป็นธรรมดา

     แถมพวกตัวหนอนแมลงใต้ดินก็ชุกชุม นอกจากนั้นยังมีพวกสัตว์ชอบขุดรูใต้ดินคอยรบกวนที่อยู่อาศัยหลักของพวกดาร์กเอลฟ์เป็นประจำ การกำจัดพวกหนอนแมลงและสัตว์คุกคามจึงเป็นหน้าที่ของ ‘นักล่า’ อย่างข้า

     ช้าก่อน… พวกหนอนแมลงที่ว่าน่ะ ไม่ใช่ตัวเล็ก ๆ หรอกนะ แค่หนอนโตไม่เต็มที่และตัวเบาสุดในอัล์ฟเฮมยังมีขนาดใหญ่กว่าหน้าแข้งของข้าเลย อย่างใหญ่สุดที่เคยฆ่าก็ตัวเท่าคนสามคนมัดรวมกัน แถมหนอนพวกนี้ยังมีเขี้ยวคมและมีพิษร้ายกาจอีกต่างหาก นี่ยังไม่นับพวกกิ้งกือยักษ์ คางคกยักษ์ และไส้เดือนยาวเฟื้อยนะ

     เป็นไงล่ะ ข้าเริ่มดูเท่ขึ้นมาบ้างรึยัง ข้าเป็นถึงนักล่าเชียวนะ ไม่ใช่ดาร์กเอลฟ์กระจอก จะว่าไปงานมันก็อันตรายอย่างแม่ข้าบ่นนั่นแหละ แต่ลูกชายตนนี้ชอบนี่นาทำไงได้

     “งานขัดรากไม้กระจอกยังไงโวนล์ !” แม่ตวาดใส่หน้าข้า “มันเป็นอาชีพสุจริตที่ไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไรมาก แค่ทำความสะอาดรากไม้ให้เงางามก็แค่นั้น อีกอย่างรายได้ก็ดีกว่างานนักล่าเห็บปลวกที่เจ้าทำอยู่ด้วย”

     แม่เปลี่ยนจากคำว่า ‘หนอนแมลง’ กลายเป็น ‘เห็บปลวก’ เฉยเลย เมื่อแม่พูดถึงตรงนี้ข้าชักเอนเอียงขึ้นมาบ้าง เพราะรายได้งานอื่น ๆ ไม่ใช่แค่งานยอดนิยมอย่างขัดรากไม้ก็เงินดีกว่างานนักล่าทั้งนั้น นั่นก็เพราะงานนักล่าหนอนล่าแมลงไม่ใช่งานประจำ ยามมีหนอนหรือแมลงบุกโจมตีอุโมงค์ นักล่าอย่างข้าก็จะรีบไปจัดการถึงที่ แต่หนอนแมลงไม่ได้บุกมาทุกวัน ดังนั้นค่าตอบแทนจึงไม่ได้ประจำรายวัน และค่าตอบแทนของนักล่าหาใช่เงินหรือทองคำ

     ธรรมเนียมของชาวดาร์กเอลฟ์จะให้ค่าตอบแทนของพวกนักล่าเป็นอาหารผักผลไม้ อย่างเก่งก็น้ำหวานดี ๆ สักไห หรือไม่ก็พวกสุราดองซึ่งทำมาจากรากไม้ ดื่มแล้วบำรุงกำลังวังชา นี่แหละค่าตอบแทนที่ถูกใจข้า พวกเงินทองอะไรข้าไม่ต้องการ แค่เอาอาหารกลับมาฝากแม่ข้า กักตุนไว้กินในฤดูหนาวที่พวกหนอนแมลงหลบไปจำศีลก็เพียงพอแล้ว หากมีอาหารเหลือหน่อยก็เอาไปแลกเสื้อผ้าเครื่องใช้และอาวุธเล็ก ๆ น้อย ๆ หรือรับจ้างทำงานตีเหล็กบ้างนาน ๆ ครั้ง ข้าก็สะสมทรัพย์พอจะแต่งตัวหล่อ ๆ ได้แล้ว ไม่เห็นต้องหาเงินทองมากองสูงให้เปลืองแรง

     ชีวิตข้าร่ำรวยมีไปก็เท่านั้น สู้อยู่อย่างพอมีพอกินดีกว่า ความสุขของข้าใช่ว่าจะซื้อหาได้ด้วยเงินทองซะเมื่อไร

     “ยังไงข้าก็จะทำแต่งานล่าหนอนล่าแมลง ฆ่าเห็บเก็บปลวกที่แม่ไม่ชอบนั่นแหละ เพราะมันเหมาะกับข้าที่สุดแล้ว” ข้าอ้างเสียงแข็งคัดค้าน “ขืนให้นั่งขัดรากไม้นิ่ง ๆ จนก้นชา มีหวังข้าอกแตกตายแน่”

     ข้าพ่นลมหายใจ จินตนาการถึงก้นกบที่ปวดระบมจากการนั่งหลังแข็งทั้งวันทั้งคืน

     “โธ่… โวนล์…” แม่ทำเสียงสั่นเครือ “ทำไมเจ้าถึงเกิดมาผิดแผกจากดาร์กเอลฟ์ตนอื่นขนาดนี้นะ ไม่มีดาร์กเอลฟ์ตนใดชอบงานหนัก ๆ เสี่ยงตายกันหรอกลูก เจ้านี่มันบ้าบิ่นผ่าเหล่าผ่ากอจริง ๆ เลย” แม่เริ่มเสียงอ่อนลงเมื่อเห็นว่าข้าเสียงแข็ง

     “ข้าก็บ้าบิ่นของข้าแบบนี้แหละแม่ ไม่เห็นว่ามันจะเป็นปมด้อยตรงไหน และแม่ก็ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าก็ไม่ได้ทำงานนักล่าเพียงตนเดียว ยังมีดาร์กเอลฟ์อีกตนทำงานร่วมกันกับข้านะแม่ อย่าลืมสิ”

     “อ่อ เจ้าหมายถึงพ่อหนุ่มชื่อ ฮากิ อะไรนั่นน่ะรึ” แม่แค่นเสียง พลางทำหน้าสงสัยใคร่รู้

     “ดาร์กเอลฟ์ตนนั้นแหละแม่ ถึงเขาจะไม่เคยยอมรับว่าเป็นเพื่อนกับ… ไอ้เอลฟ์มืดอย่างข้า แต่ที่จริงฮากิก็เป็นเอลฟ์ที่ใช้ได้ทีเดียวนะแม่ ไว้ใจได้ พึ่งพาได้เสมอ” ถ้าเทียบกับพวกปากเสียที่ล้อเลียนข้าว่า ‘ไอ้เอลฟ์มืด’ มีแต่ฮากินี่แหละที่ไม่เคยเรียกข้าอย่างนั้น อาจเพราะหมอนั่นไม่ค่อยพูดกับข้าอยู่แล้วก็เป็นได้

     “เจ้าชมฮากิแบบนี้ อย่าบอกนะว่าเจ้าหันมาชอบผู้ชายด้วยกัน ! มิน่าล่ะ เจ้าถึงไม่ยอมหาเมียมารับใช้แม่สักที”

     “จะบ้ารึแม่ ! ไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อย” แม่พูดซะ ข้าขนคอลุกชันชอบกล “หมายถึงฮากิมันทำงานดีต่างหาก ฝีมือการล่าของมันใช้ได้ก็เท่านั้น… แล้วแม่ก็เลิกสั่งให้ข้าไปหานางเอเวนมาแต่งงานด้วยซะทีเถอะ ! แม่อยากได้สาวรับใช้ก็ไปหาเอาเองสิ อยากอุ้มหลานก็ไปรับเลี้ยงเด็กกำพร้า ตัวข้าซีดแบบนี้สาวที่ไหนจะมองไอ้เอลฟ์มืดอย่างข้า !” ข้าโวยลั่น

     เรื่องจริงที่ข้ารู้สึกเสมอมา… สาว ๆ ชอบมองแต่พวกมีออร่าเปล่งประกายอย่างไลต์เอลฟ์ ไอ้เอลฟ์มืดอย่างข้าไม่ใช่รสนิยมของพวกนางสักตน ถึงข้าจะหล่อลาก… อะแฮ่ม ! ถึงข้าจะหน้าตาดีระดับหัวแถว เอ่อ… พอดูได้ แต่ความจริงอันน่ากลัวคือพวกนาง… มองไม่เห็นข้า

     ใช่ ! มองไม่เห็นข้าจริง ๆ ไม่ได้แค่แกล้งทำเป็นมองไม่เห็นหัว แล้วจะให้ข้าง้อนางรึไง ฝันไปเถอะ ลูกผู้ชายฆ่าได้ แต่มองไม่เห็นข้าในสายตาไม่ได้ ! หวังว่าคงมีใครเข้าใจความรู้สึกนี้บ้างไม่มากก็น้อย

     อัล์ฟเฮมช่างเป็นดินแดนไร้ความยุติธรรม ทีพวกดาร์กเอลฟ์หน้าตาแย่เหมือนปลวกเหมือนเห็ดรา แถมมีแสงในตัวแค่กระจิดเดียวยังหาสาวมาควงเข้าหอได้ แล้วข้าซึ่งทั้งหล่อทั้งหุ่นเป๊ะขนาดนี้ แค่เกิดมาตัวไม่มีแสงเท่านั้น ทำไมพวกนางไม่ชายตามอง

     เป็นอันว่าสำหรับข้าแล้ว การจีบสาวจึงยากยิ่งกว่าการฆ่าคางคกยักษ์สิบตัว ด้วยเหตุนี้ข้าถึงเกลียดพวกไลต์เอลฟ์ที่มีภรรยามากกว่าสามตนขึ้นไป เกลียดพวกมันเข้ากระดูกดำ หากเจอไลต์เอลฟ์หน้าแย่ตนใดหลีสาวทีเดียวสิบตนให้ข้าเห็นคาตาละก็ ข้าจะต้องแกล้งเอาเหล็กร้อน ๆ เสียบก้นมันแน่

     “โวนล์ เจ้าจะให้แม่หาสาวมาให้ก็ไม่บอกแต่แรก” แม่ข้ายิ้มมีเลศนัย “เพียงแต่ตาแม่มองไม่เห็น หากแม่หามาไม่ถูกใจเจ้าก็อย่าว่าแม่แล้วกัน”

     “หยุดเลยนะแม่ ข้าไม่ได้หมายความแบบนั้นสักหน่อย” แม่จะเอาอะไรกับข้าหนักหนา ชักปวดหัวแล้วนะ เกิดเป็นลูกเอลฟ์มันลำบากอย่างนี้เอง “วันนี้ข้าไม่ฟังแม่แล้ว ออกไปหาหนอนอ้วน ๆ ฆ่าให้หายเบื่อดีกว่า”

     ว่าแล้วข้าก็คว้าดาบด้ามยาวที่แขวนไว้บนผนังอุโมงค์ ลุกขึ้นสวมเสื้อหนังบาง ๆ รัดเข็มขัดถักจากเถาวัลย์ มัดผมสีทองซีด ๆ อย่างลวก ๆ และเสียบดาบยาวไว้บนแผ่นหลัง ดาบนี้ข้าเก็บสะสมทองคำเลือดตาแทบกระเซ็นกว่าจะจ้างช่างตีดาบมาตีดาบที่คมกริบและงดงามขนาดนี้ได้ มันเป็นอาวุธสุดรักของข้าเชียวล่ะ ไม่แปลกที่ข้าจะนอนกอดมันแทนสาวในบางคืนยามใต้ดินอากาศหนาว แค่ก ! เลิกพูดถึงสาวจะดีกว่า

     “เจ้าจะไปทำงานแล้วรึโวนล์” แม่ทำหน้าสลด และจะทำหน้าแบบนี้ทุกครั้งก่อนข้าไปทำงาน

     “เอาน่าแม่… ข้ายังไม่ตายภายในวันนี้วันพรุ่งนี้หรอก สาบานว่าจะไม่ตาย” ข้าหัวเราะน้อย ๆ กับคำพูดตัวเอง

     “เจ้าน่ะชอบพูดเล่นอยู่เรื่อย เอาเถอะ… วันนี้แม่ยอมแพ้เจ้าอีกวันก็แล้วกัน แต่ก่อนไปเจ้าช่วย…”

     “ช่วยอะไรรึแม่” ข้าเลิกคิ้ว น้ำเสียงจริงจังทำให้ข้าหันกลับมามองหน้าแม่อีกครั้ง

     “ช่วยพยายามเปล่งแสงออกจากกายเจ้าอีกสักครั้งเถอะ”

     “…” ข้าละอยากล้มทั้งยืนจริง ๆ

     “โวนล์ของแม่… เจ้าต้องพยายามเปล่งแสงเรื่อย ๆ นะ บางทีเจ้าอาจจะเรืองแสงได้อย่างไลต์เอลฟ์ เหมือนตอนที่เจ้าคลอดออกมาใหม่ ๆ ไง แสงของเจ้าสว่างถึงขนาดทำให้ตาแม่และตาหมอตำแยบอดได้เชียวนะ ! แม่ไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าจะกลายเป็นเอลฟ์มืดไปตลอดชีวิต”

     แม่เริ่มอ้อนวอนข้าอีกแล้ว แม่ที่รักของข้า… ทำไมท่านจึงไม่หัดเข้าใจบ้างว่า การเปล่งแสงออกจากกายน่ะ มันไม่ใช่ว่าจะเปล่งแสงออกมาง่าย ๆ เหมือนเบ่ง… ในส้วมหรอกนะ

     ข้าล่ะเหนื่อยใจ ทำได้แค่ตบบ่าแม่ผู้น่าเวทนาและพูดด้วยเสียงพระเอกกึ่งเห็นใจว่า “ไว้ว่าง ๆ ข้าจะลองพยายามเปล่งแสงดู ถ้าข้าว่างนะแม่… แม่ไม่ต้องกังวล พักผ่อนให้สบายเถอะ” ข้าปลอบผู้เป็นแม่ก่อนจะหันหลังกระตุกรอยยิ้มกับตัวเอง ขอย้ำว่าถ้าไม่ว่างชนิดนอนนับก้อนหินเล่นได้หนึ่งเดือนจะไม่ทำเด็ดขาด ฉะนั้นเลิกหวังในตัวข้าเถอะแม่ ขอโทษนะที่พระเอกอย่างข้าบางครั้งก็เหมือนตัวร้าย

     ข้ามีนามว่า โวนล์ อัลฟาร์ เอลฟ์หนุ่มอายุยี่สิบสองปีเศษ ข้ามันไร้แสง ข้ามันไอ้เอลฟ์มืด คงหมดหวังจะแต่งงาน และอาจตายเพราะทำงานเป็นนักล่า หรือไม่ก็ตายเพราะดื่มสุราดอง ชีวิตข้าเกิดมาก็ได้แค่นี้แหละ คงเป็นบาปที่ทำให้แม่ตัวเองมองไม่เห็น ชีวิตถึงมืดบอดนัก

     ข้าคิดปลงตกอยู่ลึก ๆ สูดหายใจและเดินเร็ว ๆ ให้ห่างจากแม่ผู้พิการทางสายตา มุ่งสู่เส้นทางคดเคี้ยวของอุโมงค์ใต้ดินอับและชื้นแฉะที่สุดในอัล์ฟเฮม หวังจะหาหนอนอวบอ้วนมาเชือดแก้เซ็ง

 

บทที่ 2 ==>
<== ปฐมบท
กลับหน้าหลัก

 

[catlist name="the-dark-elf-เอลฟ์มืดพันธุ์แสบ" numberposts=0]